วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Belief is Borrowed, Trust is Yours



บทความต่อไปนี้ผมแปลมาจากหัวข้อ Belief is Borrowed, Trust is Yours หน้าที่ 51-53 จากหนังสือ  Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times โดย  Osho 
(ทุกตัวอักษรถูกแปลจากอังกฤษเป็นไทย ไม่ปฎิเสธเรื่องที่ว่าในแต่ละครั้งของการแปลบทความเหล่านี้จะเจือปนความรู้ความเข้าใจของตัวผู้แปลลงไปด้วย ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)




ศรัทธานั้นหยิบยืม เชื่อมั่นนั้นติดตน


ความเชื่อมั่นจะกำเนิดขึ้นได้นั้น แรกเริ่มหากเธอเชื่อมั่นในตัวของเธอเอง มูลฐานที่สำคัญต้องเกิดขึ้นมาจากภายในก่อน แล้วจึงจะสามารถเชื่อมั่นในการดำรงอยู่ แต่หากไม่เป็นดังเช่นที่กล่าวมานั้น ความรู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องใดใดจะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด


สังคมได้ทำลายล้างความเชื่อมั่นไล่ลงไปตั้งแต่รากฐาน เขาไม่อนุญาตแม้แต่จะให้เธอเชื่อในตัวในตน หากแต่สอนสั่งความเชื่อมั่นในรูปแบบที่ต่างออกไป เชื่อฟังคนในครอบครัว เชื่อถือคนในโบสถ์ วางใจไปกับมลรัฐ ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า อย่างไม่มีทีสิ้นสุด หารู้ไม่ว่าความเชื่อเดิมนั้นถูกลบเลือนไปจนไม่มีเหลือ ส่วนความเชื่อที่สังคมกำหนดให้นั้นเป็นของเลียนแบบ ดังนั้นมันจึงเป็นได้แค่ดอกไม่พลาสติก ไร้รากสำหรับหยั่งลงไปดูดเอาสารอาหารสำหรับการเจริญเติบโต


พวกเขาบรรจงสร้างสรรค์มันอย่างรอบคอบ แฝงไปด้วยจุดประสงค์ นั่นเพราะผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นบุคคลที่อันตรายต่อประชาคม สังคมที่ฝากผีฝากไข้ไปกับทาสรับใช้ แท้จริงแล้วมันคือสังคมอุดมทาส


ผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองคือผู้ที่เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง เธอไม่สามารถจะคาดเดาทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาก้าวเดินในวิถีที่เข้าสร้าง เขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อเขารู้สึก ยามที่ความรักบังเกิดในใจ แปรเป็นความเชื่อที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันแรงกล้า พร้อมกับ ความสัตย์แท้แน่นอน เปี่ยมไปด้วย ความมีชีวิตชีวา แต่ไม่สูงเกินกว่าความธรรมดาสามัญ หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาพร้อมแล้วที่จะเสี่ยงอันตรายนานับประการไปกับสิ่งที่เขาตั้งมั่น แต่มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาประจักษ์แล้วว่าถ่องแท้ ต่อเมื่อมันมาสั่นระฆังหัวใจ สติปัญญา และ ความรัก นอกจากนั้น ไม่มี! แล้วเธอจะพบว่าอำนาจใดก็ไม่สามารถควบคุมเขาไปสู่ความเชื่อใดใดได้เลย


ความศรัทธา คือ  สมมุติฐาน

ความเชื่อมั่น คือ การดำรงอยู่

เธอสามารถปรับเปลี่ยนศรัทธาได้โดยปราศจากความกังวล คล้ายกับเวลาที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นแหล่ะ จาก ฮินดู เธอสามารถเปลี่ยนเป็น คริสเตียน มุสลิม กระทั่ง คอมมิวนิสต์ เพราะว่าความศรัทธาเป็นเรื่องของสติปัญญาหากมีสิ่งใดมาโน้มน้าวหรือมีเหตุผลที่เหมาะสมพอเธอก็สามารถเปลี่ยนมันได้ในทันทีเพราะมันไม่มีกระทั่งรากเหง้า ใช่แล้วความศรัทธาเป็นดั่งดอกไม้พลาสติกถึงจะดูคล้ายกับของจริงแต่มันไม่มีรกราก ไม่ต้องอาศัยกาารดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องการปุ๋ย ไม่ต้องการสารเคมี ไม่ต้องการนำไม่ต้องพรวนดิน ไม่มีสิ่งใดเลยที่มันต้องการ หากแต่มันจะยังคงอยู่ไปตราบชั่วอายุขัยของมนุษย์มนาเพราะพวกมันไม่เคยเกิดมันจึงไม่เคยตายถูกผลิตมาจากเครื่องจักรกลต่อให้ทำลายล้างมันไปมันก็ยังคงอยู่

ศรัทธาอยู่ในหัว 

เชื่อมั่นอยู่ในใจ

ความเชื่อมั่นเป็นดั่งกุหลาบงามตามธรรมชาติ รากของมันหยั่งลงไปถึงหัวใจของเธอลงไปยังความเป็นไปของชีวิต หากจะทำการเปลี่ยนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีให้เห็นมาในประวัติศาสตร์ หากเธอเชื่อมั่นแล้วไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคงเจริญเติบโตด้วยราก ไม่แน่นิง มีความเคลื่อนไหว สถิตไปด้วยพละกำลัง พร้อมทั้งยังคงแตกดอกออกใบ แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยไม่รู้จบ

สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตคนเราคือการก้าวข้ามอดีต เพราะนั่นหมายความว่านั่นคือการ สูญสิ้นอัตลักษณ์ สูญสิ้นตัวตนของเธอเอง ใช่ มันคือการ สลายตัวตน ตัวเธอนั้นว่างเปล่าแต่อดีตนั้นต่างหาก ตัวเธอนั้นว่างเปล่าแต่เงื่อนไขนั้นต่างหาก ฉะนั้นมันจึงไม่ง่ายเหมือนกับการเปลื้องผ้าหากแต่มันคือการถลกผิวหนังออกมาก็ว่าได้

การจะก้าวผ่านอดีตเป็นสิ่งที่ยากยิ่งแต่ก็ยังมีผู้กล้าที่ลงมือทำ คงเหลือเอาไว้เพียงชีวิตเอาไว้ใช้ ส่วนคนอื่นอื่นยังคงเสแสร้ง ยังคงกล้ำกลืนฝืนทนต่อไปอยู่ดี พวกเขาไม่มีกำลังวังชา ไม่สมควรที่จะมีเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอย่างเบาบางและด้วยเหตุนั้นเองเขาจึงพลาดทุกอย่างไป

จะมีเพียงเมื่อยามที่เธอทุ่มเททั้งศักยภาพอย่างเต็มเหนี่ยวเท่านั้นการผลิบานทางจิตวิญาณจึงบังเกิด เมื่อยามที่การแสดงออกอย่างเต็มเหนี่ยวในของการดำรงอยู่ในตัวของเธอบังเกิด พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง จะลงมาโปรดตอนที่เธอสัมผัสได้ว่าสิ่งสิ่งนั้นมีอยู่

ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นตัวตนของเธอที่เลือนหาย ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นสัมผัสถึงองค์ศาสดาในตน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะเกิดขึ้นถัดจากการสัมฤทธิ์ผลจากการสูญสิ้นตัวตนไปเสียก่อน มันคือการตายชนิดหนึ่งนั่นเอง แม้ว่ามันค่อนข้างจะยุ่งยากและเงื่อนไขออกจะลึกซึ้งอย่างมากเพราะเธออยู่ภายใต้มันมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก เงื่อนไขต่างต่างก็เริ่มขึ้นเช่นกัน เวลาผ่านไปเธอรู้สึก"ตื่น"เริ่ม"ตระหนัก"ขึ้นมาบ้าง แต่มันกลับถูกส่งไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในตัวเธอเสียแล้ว หนทางเดียวคือทะลวงเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดที่ที่ไม่มีเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น สถานที่ก่อนที่คำสอนคำกล่าวจากสังคมจะบังเกิด นอกเสียจากเธอจะหลอมรวมกับความสงบนิ่งนั้นเสียเอง เป็นหนึ่งเดียวกับความไร้เดียงสา เธอจึงพบว่าเธอคือใคร ถูกต้อง เธอทราบดีว่าเธอ เป็นฮินดู เป็นคริสเตียน  เธอเป็น คนอินเดีย คนจีน คนญี่ปุ่น มีความรู้ความเข้าใจในหลายหลายเรื่อง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่มากำหนดตัวเธอให้เป็นไปตามสิ่งใดก็ตามที่ใครอยากให้เธอเป็นต่างหากเล่า ! แล้วเธอก็ได้เดินทางมาถึง โลกแห่งความสงัดบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในตัวของเธอโดยไร้สิ่งใดมาเจือปน

"การทำสมาธิ " หมายถึง การทะลุทะลวงเข้าไปสู่พื้นทีแห่งนั้นพื้นที่ที่ลึกที่สุดยาวไกลที่สุด คนนิกายเซ็นเรียกมันว่า "การพบโฉมหน้าที่แท้จริง"



วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แปลเพลง





Notorious B.I.G .-  Juicy

โนโทเรียส บี ไอ จี - สีสัน

----------------------------------------------------

( พูด )

Yea...this album is dedicated to all the teachers that told me

เออ อัลบั้มนี้กูขออุทิศให้กับคุณครูทุกท่านที่เคยบอกกับกูว่า

I'd never amount to nothing, to all the people that lived above the

กูไม่ได้มีชีวิตเพื่ออยู่ไปวันวัน อุทิศให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บน

Buildings that I was hustling in front of that called the police on

แมนชั่นที่กูกำลัง"ปล่อยของ"อยู่ข้างหน้าตึกในขณะที่พวกแม่งโทรแจ้งตำรวจ

Me when I was just trying to make some money to feed my daughter

ให้มาจับกูทั้งที่กูลำบากลำบนหาตังค์มาเลี้ยงดูลูกน้อย

And all the niggas in the struggle, you know what I'm saying?

และให้กับพี่น้องทุกคนที่ดิ้นรนต่อสู้ เข้าใจใช่ป่ะ ?

It's all good baby baby

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ


(ท่อน1)


It was all a dream

มันเหมือนดั่งความฝัน

I used to read Word Up magazine

กูชอบอ่านนิตรยสาร เวริ์ด อัพ 

Salt'n'Pepa and Heavy D up in the limousine

ซอล แอนด์ เพพพ่า และ เฮฟวี่ดี นั่งอยู่บน ลิมมูซีน

Hangin pictures on my wall

กูตัดรูปมาแปะไว้บนฝาบ้าน

Every Saturday Rap Attack, Mr. Magic, Marley Marl

ทุกวันเสาร์ รายการวิทยุ แร็พ แอ็ทแท็ค ดีเจ เมจิค กับ ดีเจ มาร์ลี่ มาร์ล

I let my tape rock til my tape popped

กูปรี่เปิดฟังจนเครื่องเล่นแทบพัง

Smokin weed and Bambu, sippin on Private Stock

ดูดสมุนไพรโรลกระดาษมวนตราแมว พลางจิบแสงโสม

Way back, when I had the red and black lumberjack

ย้อนกลับไปในตอน กูใส่รีบอร์คปั้ม เสื้อการ์ตูนมาร์เวล

With the hat to match

พร้อมกับหมวกสีที่เข้ากับชุด

Remember Rappin Duke? duh-ha, duh-ha

จำเพลง แร็พปิ้น ดู้ก กันได้มั้ย ? ดา ฮา ดา ฮา

You never thought that hip hop would take it this far

มึงคงคิดไม่ถึงว่าเพลงส้นตีนแบบนั้นจะทำให้ฮิปฮอปเป็นดั่งทุกวันนี้

Now I'm in the limelight cause I rhyme tight

ตอนนี้ กูอยู่บนเวทีแสงไฟสาดส่อง เพราะ กูถุยไม่หยุดไม่เคยบกพร่อง

Time to get paid, blow up like the World Trade

ถึงเวลาที่ต้องชำระ ระเบิดตูม  7 จุดใน กอ ทอ มอ !

Born sinner, the opposite of a winner

เกิดมามีกรรมกูไม่โทษใคร ตรงกันข้ามเลยกับคำว่า ผู้มีชัย

Remember when I used to eat sardines for dinner

กูยังจำได้ที่กูต้องแดกข้าวกับปลากระป๋องเป็นมื้อเย็น

Peace to Ron G, Brucey B, Kid Capri

ทักทายไปยัง รอน จี , บรูซซี่ บี , คิด คาปรี

Funkmaster Flex, Lovebug Starski (wassup)

ฟังก์มาสเตอร์ เฟล็กซ์, เลิฟบัค สตารสกี้ (หวัดดีพี่)

I'm blowin up like you thought I would

กูกลายเป็น ซุปตา อย่างที่มึงเห็น

Call the crib, same number same hood (that's right)

โทรมาหากูได้ เบอร์เดิม ที่เดิม (ใช่แล้วหล่ะ)

It's all good (it's aaalll good)

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ ( ดีหมด )

And if you don't know, now you know, nigga

และถ้าหากมึงยังไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้มึงได้รู้แล้วนะ พี่น้อง


(*** ท่อนฮุค ***)


You know very well who you are

*** ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า "คุณคือใคร"

Don't let em hold you down, reach for the stars

อย่าปล่อยเข้าเหล่านั้นมาฉุดคุณลงตำ จงเอื้อมมือคว้าดาว

You had a few, but not that many

ถึงคุณจะมีเพียงแค่อย่างสองอย่าง แต่คนอื่นนั้นมากเกินไป

Cause you're the only one I'll give you good and plenty

เพราะคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะหยิบยื่นให้อย่าง พอดี และ เหมาะสม


(ท่อน2)


I made the change from a common thief

กูสร้างโอกาสจากพวกลักทรัพย์

To up close and personal with Robin Leach

จนใกล้ชิด และ สนิทชิดเชย กับ โรบิน ลีช

And I'm far from cheap, I smoke skunk with my peeps all day

กูน่ะห่างไกลจากความจน กูดูดพันลำพันธุ์สกั้งค์แม่งทุกวันกับเพื่อนฝูง

Spread love, it's the Brooklyn way

ส่งผ่านความรัก นี่คือวิถีของชาวบรู๊คลีนว่ะ

The Moet and Alize keep me pissy

แชมเปญ โมเอท บรั่นดี อะไลซ์ ทำเอากูเดินเซ

Girls used to diss me

สาวสาวมักจะมองเมิน

Now they write letters cause they miss me

แต่ตอนนี้หล่อน ว็อท-แอ็ป มาหากูเพราะรู้สึกว่าพวกเขานั้นห่างเหิน

I never thought it could happen, this rappin stuff

กูไม่เคยจะคาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพียงเพราะจาก เพลงแร็พ

I was too used to packin GATs and stuff

ชีวิตกูควรจะมีอยู่แค่ ปืน กับ ยาบ้า

Now honeys play me close like butter play toast

ยาหยีไม่เคยจะห่างกูเหมือนกับเนยที่ต้องทาบนขนมปังปิ้ง

From the Mississippi down to the east coast

จาก มิสซีซิปปี้ ย้ายมาอยู่ฝั่ง อีสโคสต์

Condos in Queens, endo for weeks

คอนโดสุดหรู จัดปุ๊นแม่งทั้งอาทิตย์

Sold out seats to hear Biggie Smalls speak

บัตรขายเกลี้ยงเพื่อที่จะมาฟัง บิ๊กกี้ สมอลส์ ปราศัย

Livin life without fear

ใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัว

Puttin 5 karats in my baby girl's ears

กูจัด 5 กะรัตให้สุดที่รักไว้ที่ต่างหู

Lunches, brunches, interviews by the pool

อาหารกลางวัน ของหวานอาหารว่าง สัมภาษณ์สดกันตรงสระนำ

Considered a fool cause I dropped out of high school

คิดแล้วน่าขันเพราะความรู้กูมีเพียงชั้น ปอ 4

Stereotypes of a black male misunderstood

ก็แค่ทัศนคติของไอ้มืดที่ขาดขาดเกินเกิน

And it's still all good

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ

Uh...and if you don't know, now you know, nigga

เออะ...และถ้าหากมึงยังไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้มึงได้รู้แล้วนะ พี่น้อง


(*** ท่อนฮุค ***)


You know very well who you are

*** ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า "คุณคือใคร"

Don't let em hold you down, reach for the stars

อย่าปล่อยเข้าเหล่านั้นมาฉุดคุณลงตำ จงเอื้อมมือคว้าดาว

You had a few, but not that many

ถึงคุณจะมีเพียงแค่อย่างสองอย่าง แต่คนอื่นนั้นมากเกินไป

Cause you're the only one I'll give you good and plenty

เพราะคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะหยิบยื่นให้อย่าง พอดี และ เหมาะสม


(ท่อน3)


Super Nintendo, Sega Genesis

เพลสเตชั่น 3 , นินเทนโด วี

When I was dead broke, man I couldn't picture this

ตอนที่กูไม่มีจะแดก เพื่อนเอ๋ย! กูยังไม่คิดแม้แต่จะนึกถึง

50-inch screen, money green leather sofa

แฟรตตอนจอ 50 นิ้ว โซฟาหรูทำจากกัมมะหยี่

Got two rides, a limousine with a chauffeur

ภาหนะยานยนต์ ลิมมูซีน 2 คัน พร้อม คนขับรถ

Phone bill about two G's flat

ค่าโทรศัพท์กูยาวเป็นหางว่าว

No need to worry, my accountant handles that

ไม่เห็นต้องเป็นกังวล กูปล่อยให้นักบัญชีส่วนตัวกูจัดการ

And my whole crew is lounging

เหล่าเพื่อนฝูงอยู่กันในห้องสังสรรค์

Celebrating every day, no more public housing

ฉลองกันทุกวันไม่เว้นกระทั่งวันหยุด ไม่มีอีกแล้วการเคหะของภาครัฐ 

Thinking back on my one-room shack

คิดหวนถึงวันวานตอนที่ทั้งบ้านมีเพียงห้องเดียวไว้อยู่อาศัย

Now my mom pimps a Ac with minks on her back

แต่ตอนนี้แม่กูขับ อาคิวร่า พร้อมกับเสื้อขนมิ้งค์บนไหล่ของเธอ

And she loves to show me off, of course

ท่านพอใจที่แสดงออกให้กูเห็น แน่นอน

Smiles every time my face is up in The Source

ยิ้มรื่นทุกทีที่เห็นลูกชายท่านอยู่บนปก นิตรยสาร ซอร์ซ

We used to fuss when the landlord dissed us

เราคอยแต่ตระหนกเวลาเจ้าของบ้านเช่าเข้ามาทวงตังค์

No heat, wonder why Christmas missed us

ไม่มีเครื่องทำความอุ่น วัยเด็กเคยสงสัยว่าทำไมบ้านเราจึงไม่จัดงานคริสต์มาส

Birthdays was the worst days

วันเกิดของพวกเราเคยเป็นวันที่แย่ที่สุด

Now we sip champagne when we thirst-ay

แต่ทุกวันนี้ พวกกูจิบแชมเปญเวลากูกระหายนำ

Uh, damn right I like the life I live

เออะ แน่นอนที่สุด กูพอใจกับชีวิตที่กูใช้

Cause I went from negative to positive

เพราะไม่ว่ามันจะ ร้าย หรือ ดี

And it's all
(It's all good)

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ 
( ดีหมด )

...and if you don't know, now you know, nigga 

และถ้าหากมึงยังไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้มึงได้รู้แล้วนะ พี่น้อง


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ที่มา-ที่ไป

- คู่กัดตลอดกาลของ ทูพัค 

- ทูพัค - เวสต์ไซด์ 

- บิ้กกี้ - อีสไซด์

- เพลง จูซซี่ เป็นเพลงฮิปฮอปเพลงแรกที่บอกเล่าถึงเรื่องราวชีวิต การไต่เต้าของศิลปินฮิปฮอป ตั้งแต่ไม่มีจะกินจนเป็นศิลปินดัง นำมาซึ่งที่เราสามารถเห็นเพลงในทำนองนี้กันได้เกลื่อนในปัจจุบัน

- ซิงเกิ้ล ตัวนี้ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่15 ของเพลงแร็พยอดเยี่ยมตลอดกาลของ บิลบอร์ดชาร์ต

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Osho : Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times


(Publication Date: August 2, 2011)

Living Dangerously แปลตามตัวอักษรได้ความหมายว่า "การใช้ชีวิตอย่างอันตราย " คนเราเวลาอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า " สติ " (awareness) ตื่นรู้ ตื่นตัว ไปกับสถานการณ์ที่ตนเผชิญอยู่เบื้องหน้า เช่น การเดินข้ามถนน ตาทั้งสองข้างตั้งใจสอดส่องเพราะหากไม่สนใจมองให้ดีอาจเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตได้ "ใช้ชีวิตอย่างอันตราย "ในความหมายของโอโชหมายถึง ใช้ชีวิตแบบสวนกระแสสังคม เขาเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นล้วนมีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง ไม่สามารถจะให้ใครมาเลือกแทนใครได้ อะไรที่สังคมว่าดีหากคนทำตามที่เขากล่าวเขาบอกก็จะได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียง สะดวกสบาย ได้รับการยกย่องจากลุ่มคนที่อยากให้คุณเป็นเหมือนเขา สิ่งที่ตามมาก็คือการปรุงแต่งของ อัตตา ในใจอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ยังไม่ต้องพูดถึง "การรู้จักตัวตน" กระทั่ง "การรู้แจ้ง " เพราะมันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน โอโชเปรียบการใช้ชีวิตแบบนี้เป็นดั่ง "เส้นตรงแนวยาว "(linear) ราบเรียบขนานกับพื้น ไม่รู้สึกตัวเหมือนคนนอนหลับ "ไร้สติ "(unconsciousness) เขาเชื่อว่าการใช้ชีวิตที่จะทำให้คนเรา ค้นพบสัจธรรม (truth) ตื่นตัว และ มีสติ คือการใช้ชีวิตแบบ "เส้นตรงแนวตั้ง "(vertical) ซึ่งตรงกันข้ามแบบแรกโดยสิ้นเชิง มีทั้ง จุดที่สูงสุด และ ตำที่สุด คนเราจะค้นพบความจริงในเรื่องต่างต่างจากตรงนี้ ปลดปล่อยตัวเองไปกับความรู้สึกนั้นอย่างเต็มที่ สวนกระแสคำพูดที่ถูกบอกกล่าวมาตั้งแต่เกิดยันโตจากผู้ที่หวังดีและไม่ดีกับเราเพื่อตามหาตัวตนที่หายไปก่อนที่เรียนรู้ว่าเราเป็นเพียง ผู้เฝ้ามอง ผู้ควบคุม เจ้าหุ่นยนตร์ตัวนี้ที่ใครต่างเรียกมันว่า "ร่างกาย" "ใช้ชีวิตอย่างอันตราย " คือการกำเนิดสติ คือการทำ สมาธิ(meditation)คือ "การใช้ชีวิตจากปัจจุบันไปสู่ปัจจุบัน" (live moment to moment) นั่นคือ การหลวมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันขณะ ไม่มี"อดีต"(past)มาคอยรังควาน พร้อมทั้ง ไม่แยแสกับ"อนาคต"(future)ที่ยังไม่เกิดและไม่เคยมีใครรู้


ย่อหน้าต่อไปนี้ผมแปลมาจากหัวข้อ Belief is Borrowed, Trust is Yours หน้าที่ 53-54

แต่ละชีวิตล้วนกำเนิดออกเป็นปัจเจก เมื่อเวลาผ่านเลยเขาเหล่านั้นเติบโตพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งไปกับการดำรงอยู่ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม หากเธอนั่งอยู่เฉยเฉยลองฟังเข้าไปในจิตใจ เธอจะได้ยินเสียงต่างต่างมากมาย เธอถึงกลับประหลาดใจที่เธอจดจำเสียงเหล่านั้นเป็นอย่างดี บ้างเป็นเสียง คุณตา บ้างเป็นเสียง คุณยาย บ้างเป็นเสียง พ่อ บ้างเป็นเสียง แม่ บ้างเป็นเสียง พระ บ้างเป็นเสียง คุณครู บ้างเป็นเสียงคนในซอย บ้างเป็นเสียง เพื่อนที่คุณรัก บ้างเป็นเสียง คนที่คุณเกลียด เสียงเหล่านั้นเองได้รวมตัวกันเป็น "ฝูงชน"ภายในจิตใจของเธอ หากเธอต้องการที่จะได้ยินเสียงที่อยู่ในใจของเธอเองนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะฝูงชนในใจประกอบไปด้วยคนหมู่มากในความเป็นจริง "ซุ่มเสียง"ของเธอได้ถูกลืมไปหมดเสียแล้ว เธอไม่เคยแม้แต่จะให้มันถูกเปล่งประกาศ เธอถูกบอกเสมอว่าให้เชื่อฟัง ถูกสอนให้ยอมรับ ครับ ค่ะ ต่ออะไรก็ตามที่ผู้อาวุโสกว่าเป็นคนพูด ถูกบอกให้ทำตามคำสั่งสอนของครูบาอารจารย์ท่านต่างต่าง แต่ไม่เคยมีใครบอกให้เธอให้ค้นหาเสียงของตัวเธอเอง "เสียงเรียกจากหัวใจ"ของเธอเองนั้นมีจริงหรือไม่ ? 

แปลเพลง






NOFX - Eat The Meek


โนเอฟเฟ็คซ์ - กลืนกินความนอบน้อม


----------------------------------------------------




(ท่อน1)



Why must we stay where we don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในเวลาตนไม่พึงประสงค์

Why must we stay where we don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในภาวะตนไม่เคยพอใจ

Because there's never gonna be enough space

หรือเป็นเพราะ "ที่สงบ "มันเหลือน้อยเต็มที

So eat the meek, savor the taste

จึงต้องมอบให้เขากลืนกินความ "เชื่อง" สวาปามความนอบน้อม

It's always gonna be a delicacy

รสชาติที่ว่าโอชาล้นเหลือ

So Lick your chops and eat the meek

ตวัดลิ้นชุ่มฝีปาก และ กลืนกินความนอบน้อม

(ท่อน2)

Why must we stay where we don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในเวลาตนไม่พึงประสงค์

Why must we stay where we don't belong, don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในภาวะตนไม่เคยพอใจ ไม่เคยทำให้คุณพอใจ

The factory mass producing fear, bottled,

ประกอบการโรงงานพากันประดิษฐ์ " ความกลัว " บรรจุมันลงในขวดโหล

Capped, distributed near and far

ปิดฝาครอบ แจกจ่ายออกไปยัง ที่ใกล้ และ ที่ไกล

Sold for a reasonable price

จำหน่ายมันในราคาอัน สมเหตุ และ สมผล

And the people, they love it, they feed it

ซึ่งผู้คนต่าง หลงใหลมัน บริโภคมัน

Brush with it, bathe with it, breathe it

ใช้มันแปรง ใช้มันอาบ ใช้มันหายใจ

Inject it direct to the blood

ฉีดมันเข้าไปในกระแสเลือด

It seems to be replacing love

ดูคล้ายว่า ความรัก นั้นแทนที่ด้วย ความกลัว

(ท่อน3)

Why must we stay where we don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในเวลาตนไม่พึงประสงค์

Why must we stay where we don't belong, don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในภาวะตนไม่เคยพอใจ ไม่เคยทำให้คุณพอใจ

Because there's always gonna be token truth

หรือเป็นเพราะ สิ่งเหล่านั้นมักทำให้เราหลงลืม " ความจริงของธรรมชาติ "

Forgotten code discarded youth

หลงลืมกระทั่ง"จรรยาบรรณ" หลงลืมว่านั่นคือ"เยาวชนตัวน้อย"

You know there's always gonna be pedigree

แล้วมันก็จะเป็นประหนึ่ง เชื้อสายวงศ์ตระกูล

One own the air one pay to breathe

" ผู้หนึ่งเป็นเจ้าของ อากาศ " ส่วน " อีกผู้หนึ่งซื้อ อากาศ มาหายใจ "

Why must we stay where we don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในภาวะตนไม่เคยพอใจ

Why must we stay where we don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในภาวะตนไม่เคยพอใจ

Why must we stay where we don't belong, don't belong

ใยคนเรามักพบตัวเองในภาวะตนไม่เคยพอใจ " หรือคุณไม่เคยพอใจมันเลยกันแน่หนอ ? "

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตีความ

" โลกาภิวัฒน์นำมาซึ่งความเจริญทางด้านวัตถุมากมาย แต่ จิตวิญญาณภายในใจคนนั้นกลับเสื่อมโทรมลง "

- เดาว่าเพลงพูดถึง "วัตถุนิยม"

- ขอยกตัวอย่าง ครีมประเทืองผิว บรรจุไปด้วยเนื้อครีมทำมาจากสารที่มีประโยชน์ต่อผิว แถมยังบรรจุ"ความกลัว"ลงไปด้วย กลัวไม่สวย กลัวไม่หล่อ กลัวไม่ขาว กลัวไม่เหมือนในทีวี
ต่อยอดความกลัวได้อีกมากมาย

- อีกหนึ่งตัวอย่าง เทคโนโลยีต่าง บรรจุ"ความกลัว"เช่นกัน กลัวไม่ทันสมัย กลัวเข้าสังคมไม่ได้ ต่อยอดความกลัวได้อีกมากมาย

- เป็นที่มาที่ทำให้เราต้องซื้อหาสินค้าเหล่านั้นเพิ่มขึ้นต่อต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

- นายทุนหาจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนได้น้อยมาก เน้นกำไร ไม่สนใจว่าผู้ที่บริโภคจะเป็นใคร แล้วพวกเขาได้สร้าง ค่านิยมแปลกแปลก อะไรไว้ให้กับสังคมไปบ้าง

- "ความพอใจอยู่ที่ใจ"เป็นเรื่องที่ต้องทำการฝึกฝนอย่างเอาใจใส่