บทความต่อไปนี้ผมแปลมาจากหัวข้อ Belief is Borrowed, Trust is Yours หน้าที่ 51-53 จากหนังสือ Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times โดย Osho
(ทุกตัวอักษรถูกแปลจากอังกฤษเป็นไทย ไม่ปฎิเสธเรื่องที่ว่าในแต่ละครั้งของการแปลบทความเหล่านี้จะเจือปนความรู้ความเข้าใจของตัวผู้แปลลงไปด้วย ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
ศรัทธานั้นหยิบยืม เชื่อมั่นนั้นติดตน
ความเชื่อมั่นจะกำเนิดขึ้นได้นั้น แรกเริ่มหากเธอเชื่อมั่นในตัวของเธอเอง มูลฐานที่สำคัญต้องเกิดขึ้นมาจากภายในก่อน แล้วจึงจะสามารถเชื่อมั่นในการดำรงอยู่ แต่หากไม่เป็นดังเช่นที่กล่าวมานั้น ความรู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องใดใดจะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด
สังคมได้ทำลายล้างความเชื่อมั่นไล่ลงไปตั้งแต่รากฐาน เขาไม่อนุญาตแม้แต่จะให้เธอเชื่อในตัวในตน หากแต่สอนสั่งความเชื่อมั่นในรูปแบบที่ต่างออกไป เชื่อฟังคนในครอบครัว เชื่อถือคนในโบสถ์ วางใจไปกับมลรัฐ ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า อย่างไม่มีทีสิ้นสุด หารู้ไม่ว่าความเชื่อเดิมนั้นถูกลบเลือนไปจนไม่มีเหลือ ส่วนความเชื่อที่สังคมกำหนดให้นั้นเป็นของเลียนแบบ ดังนั้นมันจึงเป็นได้แค่ดอกไม่พลาสติก ไร้รากสำหรับหยั่งลงไปดูดเอาสารอาหารสำหรับการเจริญเติบโต
พวกเขาบรรจงสร้างสรรค์มันอย่างรอบคอบ แฝงไปด้วยจุดประสงค์ นั่นเพราะผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นบุคคลที่อันตรายต่อประชาคม สังคมที่ฝากผีฝากไข้ไปกับทาสรับใช้ แท้จริงแล้วมันคือสังคมอุดมทาส
ผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองคือผู้ที่เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง เธอไม่สามารถจะคาดเดาทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาก้าวเดินในวิถีที่เข้าสร้าง เขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อเขารู้สึก ยามที่ความรักบังเกิดในใจ แปรเป็นความเชื่อที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันแรงกล้า พร้อมกับ ความสัตย์แท้แน่นอน เปี่ยมไปด้วย ความมีชีวิตชีวา แต่ไม่สูงเกินกว่าความธรรมดาสามัญ หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาพร้อมแล้วที่จะเสี่ยงอันตรายนานับประการไปกับสิ่งที่เขาตั้งมั่น แต่มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาประจักษ์แล้วว่าถ่องแท้ ต่อเมื่อมันมาสั่นระฆังหัวใจ สติปัญญา และ ความรัก นอกจากนั้น ไม่มี! แล้วเธอจะพบว่าอำนาจใดก็ไม่สามารถควบคุมเขาไปสู่ความเชื่อใดใดได้เลย
ความศรัทธา คือ สมมุติฐาน
ความเชื่อมั่น คือ การดำรงอยู่
เธอสามารถปรับเปลี่ยนศรัทธาได้โดยปราศจากความกังวล คล้ายกับเวลาที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นแหล่ะ จาก ฮินดู เธอสามารถเปลี่ยนเป็น คริสเตียน มุสลิม กระทั่ง คอมมิวนิสต์ เพราะว่าความศรัทธาเป็นเรื่องของสติปัญญาหากมีสิ่งใดมาโน้มน้าวหรือมีเหตุผลที่เหมาะสมพอเธอก็สามารถเปลี่ยนมันได้ในทันทีเพราะมันไม่มีกระทั่งรากเหง้า ใช่แล้วความศรัทธาเป็นดั่งดอกไม้พลาสติกถึงจะดูคล้ายกับของจริงแต่มันไม่มีรกราก ไม่ต้องอาศัยกาารดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องการปุ๋ย ไม่ต้องการสารเคมี ไม่ต้องการนำไม่ต้องพรวนดิน ไม่มีสิ่งใดเลยที่มันต้องการ หากแต่มันจะยังคงอยู่ไปตราบชั่วอายุขัยของมนุษย์มนาเพราะพวกมันไม่เคยเกิดมันจึงไม่เคยตายถูกผลิตมาจากเครื่องจักรกลต่อให้ทำลายล้างมันไปมันก็ยังคงอยู่
ศรัทธาอยู่ในหัว
เชื่อมั่นอยู่ในใจ
ความเชื่อมั่นเป็นดั่งกุหลาบงามตามธรรมชาติ รากของมันหยั่งลงไปถึงหัวใจของเธอลงไปยังความเป็นไปของชีวิต หากจะทำการเปลี่ยนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีให้เห็นมาในประวัติศาสตร์ หากเธอเชื่อมั่นแล้วไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคงเจริญเติบโตด้วยราก ไม่แน่นิง มีความเคลื่อนไหว สถิตไปด้วยพละกำลัง พร้อมทั้งยังคงแตกดอกออกใบ แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยไม่รู้จบ
สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตคนเราคือการก้าวข้ามอดีต เพราะนั่นหมายความว่านั่นคือการ สูญสิ้นอัตลักษณ์ สูญสิ้นตัวตนของเธอเอง ใช่ มันคือการ สลายตัวตน ตัวเธอนั้นว่างเปล่าแต่อดีตนั้นต่างหาก ตัวเธอนั้นว่างเปล่าแต่เงื่อนไขนั้นต่างหาก ฉะนั้นมันจึงไม่ง่ายเหมือนกับการเปลื้องผ้าหากแต่มันคือการถลกผิวหนังออกมาก็ว่าได้
การจะก้าวผ่านอดีตเป็นสิ่งที่ยากยิ่งแต่ก็ยังมีผู้กล้าที่ลงมือทำ คงเหลือเอาไว้เพียงชีวิตเอาไว้ใช้ ส่วนคนอื่นอื่นยังคงเสแสร้ง ยังคงกล้ำกลืนฝืนทนต่อไปอยู่ดี พวกเขาไม่มีกำลังวังชา ไม่สมควรที่จะมีเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอย่างเบาบางและด้วยเหตุนั้นเองเขาจึงพลาดทุกอย่างไป
จะมีเพียงเมื่อยามที่เธอทุ่มเททั้งศักยภาพอย่างเต็มเหนี่ยวเท่านั้นการผลิบานทางจิตวิญาณจึงบังเกิด เมื่อยามที่การแสดงออกอย่างเต็มเหนี่ยวในของการดำรงอยู่ในตัวของเธอบังเกิด พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง จะลงมาโปรดตอนที่เธอสัมผัสได้ว่าสิ่งสิ่งนั้นมีอยู่
ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นตัวตนของเธอที่เลือนหาย ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นสัมผัสถึงองค์ศาสดาในตน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะเกิดขึ้นถัดจากการสัมฤทธิ์ผลจากการสูญสิ้นตัวตนไปเสียก่อน มันคือการตายชนิดหนึ่งนั่นเอง แม้ว่ามันค่อนข้างจะยุ่งยากและเงื่อนไขออกจะลึกซึ้งอย่างมากเพราะเธออยู่ภายใต้มันมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก เงื่อนไขต่างต่างก็เริ่มขึ้นเช่นกัน เวลาผ่านไปเธอรู้สึก"ตื่น"เริ่ม"ตระหนัก"ขึ้นมาบ้าง แต่มันกลับถูกส่งไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในตัวเธอเสียแล้ว หนทางเดียวคือทะลวงเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดที่ที่ไม่มีเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น สถานที่ก่อนที่คำสอนคำกล่าวจากสังคมจะบังเกิด นอกเสียจากเธอจะหลอมรวมกับความสงบนิ่งนั้นเสียเอง เป็นหนึ่งเดียวกับความไร้เดียงสา เธอจึงพบว่าเธอคือใคร ถูกต้อง เธอทราบดีว่าเธอ เป็นฮินดู เป็นคริสเตียน เธอเป็น คนอินเดีย คนจีน คนญี่ปุ่น มีความรู้ความเข้าใจในหลายหลายเรื่อง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่มากำหนดตัวเธอให้เป็นไปตามสิ่งใดก็ตามที่ใครอยากให้เธอเป็นต่างหากเล่า ! แล้วเธอก็ได้เดินทางมาถึง โลกแห่งความสงัดบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในตัวของเธอโดยไร้สิ่งใดมาเจือปน
"การทำสมาธิ " หมายถึง การทะลุทะลวงเข้าไปสู่พื้นทีแห่งนั้นพื้นที่ที่ลึกที่สุดยาวไกลที่สุด คนนิกายเซ็นเรียกมันว่า "การพบโฉมหน้าที่แท้จริง"