วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Osho : Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times


(Publication Date: August 2, 2011)

Living Dangerously แปลตามตัวอักษรได้ความหมายว่า "การใช้ชีวิตอย่างอันตราย " คนเราเวลาอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า " สติ " (awareness) ตื่นรู้ ตื่นตัว ไปกับสถานการณ์ที่ตนเผชิญอยู่เบื้องหน้า เช่น การเดินข้ามถนน ตาทั้งสองข้างตั้งใจสอดส่องเพราะหากไม่สนใจมองให้ดีอาจเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตได้ "ใช้ชีวิตอย่างอันตราย "ในความหมายของโอโชหมายถึง ใช้ชีวิตแบบสวนกระแสสังคม เขาเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นล้วนมีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง ไม่สามารถจะให้ใครมาเลือกแทนใครได้ อะไรที่สังคมว่าดีหากคนทำตามที่เขากล่าวเขาบอกก็จะได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียง สะดวกสบาย ได้รับการยกย่องจากลุ่มคนที่อยากให้คุณเป็นเหมือนเขา สิ่งที่ตามมาก็คือการปรุงแต่งของ อัตตา ในใจอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ยังไม่ต้องพูดถึง "การรู้จักตัวตน" กระทั่ง "การรู้แจ้ง " เพราะมันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน โอโชเปรียบการใช้ชีวิตแบบนี้เป็นดั่ง "เส้นตรงแนวยาว "(linear) ราบเรียบขนานกับพื้น ไม่รู้สึกตัวเหมือนคนนอนหลับ "ไร้สติ "(unconsciousness) เขาเชื่อว่าการใช้ชีวิตที่จะทำให้คนเรา ค้นพบสัจธรรม (truth) ตื่นตัว และ มีสติ คือการใช้ชีวิตแบบ "เส้นตรงแนวตั้ง "(vertical) ซึ่งตรงกันข้ามแบบแรกโดยสิ้นเชิง มีทั้ง จุดที่สูงสุด และ ตำที่สุด คนเราจะค้นพบความจริงในเรื่องต่างต่างจากตรงนี้ ปลดปล่อยตัวเองไปกับความรู้สึกนั้นอย่างเต็มที่ สวนกระแสคำพูดที่ถูกบอกกล่าวมาตั้งแต่เกิดยันโตจากผู้ที่หวังดีและไม่ดีกับเราเพื่อตามหาตัวตนที่หายไปก่อนที่เรียนรู้ว่าเราเป็นเพียง ผู้เฝ้ามอง ผู้ควบคุม เจ้าหุ่นยนตร์ตัวนี้ที่ใครต่างเรียกมันว่า "ร่างกาย" "ใช้ชีวิตอย่างอันตราย " คือการกำเนิดสติ คือการทำ สมาธิ(meditation)คือ "การใช้ชีวิตจากปัจจุบันไปสู่ปัจจุบัน" (live moment to moment) นั่นคือ การหลวมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันขณะ ไม่มี"อดีต"(past)มาคอยรังควาน พร้อมทั้ง ไม่แยแสกับ"อนาคต"(future)ที่ยังไม่เกิดและไม่เคยมีใครรู้


ย่อหน้าต่อไปนี้ผมแปลมาจากหัวข้อ Belief is Borrowed, Trust is Yours หน้าที่ 53-54

แต่ละชีวิตล้วนกำเนิดออกเป็นปัจเจก เมื่อเวลาผ่านเลยเขาเหล่านั้นเติบโตพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งไปกับการดำรงอยู่ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม หากเธอนั่งอยู่เฉยเฉยลองฟังเข้าไปในจิตใจ เธอจะได้ยินเสียงต่างต่างมากมาย เธอถึงกลับประหลาดใจที่เธอจดจำเสียงเหล่านั้นเป็นอย่างดี บ้างเป็นเสียง คุณตา บ้างเป็นเสียง คุณยาย บ้างเป็นเสียง พ่อ บ้างเป็นเสียง แม่ บ้างเป็นเสียง พระ บ้างเป็นเสียง คุณครู บ้างเป็นเสียงคนในซอย บ้างเป็นเสียง เพื่อนที่คุณรัก บ้างเป็นเสียง คนที่คุณเกลียด เสียงเหล่านั้นเองได้รวมตัวกันเป็น "ฝูงชน"ภายในจิตใจของเธอ หากเธอต้องการที่จะได้ยินเสียงที่อยู่ในใจของเธอเองนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะฝูงชนในใจประกอบไปด้วยคนหมู่มากในความเป็นจริง "ซุ่มเสียง"ของเธอได้ถูกลืมไปหมดเสียแล้ว เธอไม่เคยแม้แต่จะให้มันถูกเปล่งประกาศ เธอถูกบอกเสมอว่าให้เชื่อฟัง ถูกสอนให้ยอมรับ ครับ ค่ะ ต่ออะไรก็ตามที่ผู้อาวุโสกว่าเป็นคนพูด ถูกบอกให้ทำตามคำสั่งสอนของครูบาอารจารย์ท่านต่างต่าง แต่ไม่เคยมีใครบอกให้เธอให้ค้นหาเสียงของตัวเธอเอง "เสียงเรียกจากหัวใจ"ของเธอเองนั้นมีจริงหรือไม่ ? 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น