บทความต่อไปนี้ผมย่นย่อมาจากหัวข้อ " ที่พักในสายนำ้ " หน้าที่141-148 จากหนังสือ " วันที่หัวใจกลับบ้าน " โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก มีนาคม 2554)
เป็นเวลานานนับชั่วโมงที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ เพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของห้วงยาม เป็นส่วนหนึ่งของ "เดี๋ยวนี้" ในลีลาแห่งรัตติกาล แม้ว่าสถานที่จะมิได้แปลกใหม่ หากยังเป็นจุดบรรจบระหว่างปากคลองบางน้อยกับลำนำแม่กลอง แต่ห้วงขณะที่ผุดบังเกิดถึงอย่างไรก็ไม่มีวันซำเดิม
แน่นอน สิ่งที่เขาค้นหาย่อมมิใช่ประสบการณ์เร้าใจและยังมิใช่แค่ลำคลองสายหนึ่งกับแม่นำอีกสายหนึ่ง หากคือ ปากประตูไปสู่ความจริงอีกชุดหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่า จริงกว่า "ความจริง"ที่ปรากฎอยู่บนความเคลื่อนไหวของสังคม
ใช่ มันคือปากประตูไปสู่จักรวาล ที่จะช่วยนำพาเขาหรือใครก็ตามที่รุ้จักในสิ่งเดียวกัน ไปสู่ความเชื่อมร้อยกับองค์รวม คืนสู่เหย้าและกลับเข้าแก่นแท้แห่งการดำรงอยู่
ถึงห้วงยามนั้น สิ่งที่เรียกว่าประตูจริงแล้วก็มิใช่ประตูไปสู่แห่งหนไหน หากคือสภาวะที่บังเกิดขึ้นและคลี่คลายขยายตัวโดยปราศจากแรงขับเคลื่อนของตรรกะเหตุผลใดๆ
ราวขุนเขาที่เผยยอดยามหมอกเมฆเลือนลับหาย
ราวแถบรุ้งและลำแดดที่โลมไล้ผิวทะเลหลังฝนมรสุม
ราวทางช้างเผือกพาดโค้งฟ้าในราตรีไร้จันทร์
คลื่นสัมผัสที่แผ่กว้างออกไปไม่ใช่ตัวตน คน สัตว์ หรือ เขาเรา ไม่ใช่สายนำ และมิใช่ความมืดยามคำคืน หากคือ ทุกอย่างหลอมรวมจนไม่อาจระบุรูปกำหนดนาม
มีทุกอย่างแต่ไม่มีอะไรสักอย่างเป็นทุกอย่างโดยไม่เป็นอะไรเลย
เขาเชื่อว่านี่ต่างหากคือแก่นความจริงของชีวิต แต่จนแล้วจนรอดก็ดูเหมือนว่าตัวเองไม่อาจพำนักอยู่ในห้วงยามแบบนั้นได้อย่างยาวนาน อย่าแต่ว่าจะอยู่กับความจริงชุดนี้อย่างถาวร
เขาเพียงรู้ชัดว่าตัวเองต้องการอะไร ทำได้แค่ไหนยังเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ตรงกันข้ามกับมุมมองของเขา บางคนกล่าวหาวิถีเช่นนี้เป็นการซ่อนตัวจากโลกแห่งความฝันซึ่งก็คือหลุดลอยไปจากโลกแห่งความจริง บ้างมองว่าทั้งหมดเป็นแค่การพักผ่อนหย่อน
ใจที่ไม่เลวนัก เพียงแต่ไม่สู้มีเวลาจะทำเอง นอกจากนี้ยังมีอยู่ไม่น้อยที่คิดว่าวิถีชีวิตของเขาไม่ใช่อะไรอื่น หากคืออาการของคนพ่ายแพ้ยอมจำนนหรือไม่ก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง
อันที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองได้ทำสิ่งใดที่ประหลาดนักหนา เพียงแค่พยายามถอนตัวออกจากเรื่องสมมุติทั้งปวง จะว่าไปผู้คนต่างรู้ดีว่าสิ่งสมมุตินั้นไม่ใช่ความจริง แต่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนจำนวนมากจึงยินยอมอยู่กับสภาวะสมมุติแทบทุกด้านของชีวิต
ยกตัวอย่างเช่นหลายคนเฝ้าห่วงใยแต่อนาคต ยอมฝืนใจตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคต ยอมฝืนใจตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคต ไม่เพียงแต่อนาคตของตัวเองเท่านั้นหากยังลามเลยไปถึงลูกหลาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหาเงินเท่าไรก็ไม่พอ เหนื่อยยากแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ เพราะกลัวตัวเองและคนที่ตัวเองรักไม่มีอนาคต
แล้วถามว่าอนาคตคืออะไรอยู่ที่ไหน เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครตอบได้ เนื่องจากสิ่งที่พูดถึงเป็นเพียงจินตนาการเกี่ยวกับชีวิตที่อยากมีอยากเป็นในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า ซึ่งตามความจริงแล้วก็คือไม่มี
ใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เพราะฉะนั้น การเป็นเจ้าของอนาคตย่อมไม่ใช่อะไรอื่นหากคือการถือครองสิ่งที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่ไหนเลยนอกจากในห้วงนึกของตัวเอง อันนี้นับเป็นเรื่องสมมุติที่เหลือเชื่อ
เท่านั้นยังไม่พอควบคู่ไปกับอนาคตยังมีเรื่องคุณค่าของของสรรพสิ่ง ที่ถูกนำมาประกอบส่วนเข้ากับนิยามชีวิตที่ดี ในเรื่องนี้อะไรก็ไม่ถูกยึดถือเท่ากับเงินทอง การศึกษาและฐานะทางสังคม
มีเงินมากถูกสมมุติให้เป็นความสุข
เรียนหนังสือสูงถูกสมมุติให้มีความรู้
มียศถาบรรดาศักดิ์ถูกสมมุติให้เทียบเท่ามีคุณงามความดี
อันนี้ที่จริงหลายคนก็รู้ว่าโลกไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เงินทองที่มากเกินอาจนำมาซึ่งความทุกข์ปริญญาหลายใบไม่ได้หมายถึงความรู้ที่มากกว่าอื่น อีกทั้งผู้คนที่ไร้ยศไร้ศักดิ์อาจจะมีคุณสมบัติทางจิตใจสูงกว่าผู้มีฐานะทางสังคมก็ได้
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการหาเงินที่สวนทางกับสัมมาอาชีวะ การศึกษาที่อัดแน่นไปด้วยอวิชชา และฐานันดรที่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบ
พูดกันสั้นๆง่ายๆ เขาไม่เชื่อว่ามนุษย์จะค้นพบอะไรเป็นแก่นสาร ตราบใดที่ยังฝากคุณค่าของชีวิตไว้กับสิ่งต่างๆนอกตัว...ซึ่งเป็นส่วนใหญ่เป็นมายา
ไม่เพียงแต่เท่านั้น การฝากคุณค่าของชีวิตไว้กับสิ่งสมมุติ ยังนำไปสู่ภาวะสมมุติอันทรงพลังที่สุดและมีผลต่อพฤติกรรมผู้คนมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องผิดถูกดีชั่วผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเรื่องนี้เกลียดชังกันเพราะเรื่องนี้ กระทั่งรบราฆ่าฟันกันเพราะเรื่องนี้
แต่ถ้าถามว่ามีถูกผิดกี่ข้อที่มิได้สมมุติขึ้น หลายคนคงตอบไม่ได้
แน่ละ ในการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก หากไม่มีจินตนาการใดให้ยึดเหนี่ยวเลยก็คงอยู่ด้วยกันยาก แต่ถ้ายึดถือในเรื่องสมมุติมากเกินไป หรือปรุงแต่งจินตนาการออกมาต่างกันมากเกินไปก็อยู่ร่วมกันได้ยากอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าห่วงคือในประเด็นผิดถูกชั่วดีนั้นบ่อยครั้งผู้คนมักจะปรุงมันขึ้นมาจากผลประโยชน์หรือไม่ก็อัตตาของตน ซึ่งก็ถูกปรุงมาแล้วชั้นหนึ่งด้วยคุณค่าสมมุติต่างๆ ครั้นทั้งหมดถูกแปรรูปเป็นกรอบคิดที่คุมขังเจ้าของไว้หนาแน่น จึงเป็นการยากที่จะถอนตัว
ยิ่งสถานการณ์บานครอบไปถึงประเด็นการใช้อำนาจหรือจินตนาการเกี่ยวกับส่วนรวมด้วยแล้ว หลายคนถึงกับพร้อมฆ่ากันตาย
เราสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
เราทำเพื่อชาติ...
ทั้งหมดนี้เป็นผลประโยชน์ของประชาชน
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน
ฆ่ามัน ๆ
ฯลฯ
เรื่องที่น่าเศร้ากว่านี้คือ ตามบทเรียนที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ หลังจากบาดเจ็บล้มตายกันไปจำนวนมากแล้ว บางทีกระแสสังคมก็ทิ้งสมมุติเก่าๆไปหาสมมุติใหม่มายึดถือ จนทำให้การสูญเสียที่เกิดขึ้นแทบกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเลย
นึกภาพทหารปลดแอกประชาชนจีนที่นอนอยู่ในหลุมศพนับล้าน ไม่ทราบพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร หากรู้ว่าฝ่ายนำที่ปักกิ่งหันมาสร้างทุนนิยมแทนสังคมนิยม
เช่นเดียวกับ นักรบเพื่อเอกราชของเวียดนามซึ่งตายไปนับล้านเช่นกัน พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าในวันนี้ผู้นำระดับสูงของประเทศที่เคยถูกตราว่าเป็นศัตรูตัวร้ายอย่างสหรัฐอเมริกากลับกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติอยู่ในกรุงฮานอย
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงทหารป่าของขบวนการปฏิวัติไทย ซึ่งฝังร่างอยู่ในแทบทุกเทือกเขา...
ใช่หรือไม่ว่าชีวิตที่หมุนวนอยู่ในกรอบสมมุติมักจะลงเอยด้วยความผิดหวัง เจ็บปวด เหงา และเศร้าอยู่รำไป
นำขึ้นมาพักหนึ่งแล้ว...
ขณะที่แม่กลองถูกปกคลุมด้วยความมืดจนดูไม่ออกคลองบางน้อยกลับนวลสลัวอยู่ใต้แสงไฟเทศบาลด้วยเหตุนี้กระแสนำซึ่งไหลเอื่อยเข้ามาทางปากคลอง จึงเหมือนสายนำที่มีความมืดเป็นธาร และอีกสักพักใหญ่ๆสายนำนี้ก็จะไหลคืนสู่ความมืดดังเดิม
คล้ายสายธารแห่งชีวิต... เขาครุ่นคิด... เราไม่เคยรู้ที่มาแท้จริงของมัน
กระนั้นก็ตาม ในห้วงยามที่เพ่งมองภาพนี้เขากลับรู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ปราศจากสมมุติฐานหรือทฤษฎีชี้นำ ตลอดจนไร้เหตุผลได้โดยไม่ต้องมีข้อแก้ตัว เขาเริ่มแยกไม่ออกว่าตัวเองหายเข้าไปอยู่ในภาพทั้งหมดหรือความเคลื่อนไหวทั้งหมดได้กลายเป็นตัวเอง ที่แน่ๆ คือเขาไม่รู้สึกมีตัวเองในความหมายสามัญ
เขารู้สึกว่าได้อาศัยพักพิงอยู่ในเงาสะท้อนเหล่านั้นเป็นเวลาเนิ่นนานทีเดียว
กระทั่งในที่สุด กระแสนำลงก็บอกกับเขาว่ากลับไปเถอะกลับไปอยู่กับมายา อยู่กับมัน กระทั่งสนุกกับมันได้เป็นครั้งคราว
แต่เพียงต้องรู้ว่ามันเป็นมายา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น