วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Responsibility of Being Free

บทความต่อไปนี้ผมแปลและย่นย่อมาจากหัวข้อ The Responsibility of Being Free หน้าที่ 58-68 จากหนังสือ  Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times โดย  Osho 
(ทุกตัวอักษรถูกแปลจากอังกฤษเป็นไทย ไม่ปฎิเสธเรื่องที่ว่าในแต่ละครั้งของการแปลบทความเหล่านี้จะเจือปนความรู้ความเข้าใจของตัวผู้แปลลงไปด้วย ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)




ความรับผิดชอบต่อชีวิตที่เป็นอิสรภาพ

ยิ่งเธอได้รับอิสรภาพมากขึ้นเท่าใดความรับผิดชอบยิ่้งต้องมีมากขึ้น เธอจำเป็นต้องตื่นตัวทั้งในสิ่้งที่เธอกระทำ ที่เธอพูด ไม่เว้นกระทั่งกริืยาเล็กน้อยในยามที่เธอจะไม่รู้สึกตัวก็ตาม เพราะไม่มีใครมาคอยควบคุมดูแลเธอ มีแต่ตัวเธอเพียงลำพังเท่านั้น เมื่อฉันบอกกับเธอว่า่ "เธอเป็นอิสระ" ฉันหมายความว่า " เธอนั่้นแหล่ะคือพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองหากแต่เป็นยังเพียง "นักเรียนเตรียม"


การเป็นอิสระจากสังคมนั้นยังไม่เพียงพอ อิสระแล้วต้องตามมาด้วยความรับผิดชอบ อิสระแล้วต้องตามมาด้วยหน้าที่ต่อการมีอิสระ หากมิฉะนั้นแล้วเธอจะยังคงถูกผูกติดกับรูปแบบเดิมๆ ปฎิกริยาที่ว่านั้นคือ "การต่อต้าน" การกระทำที่ีจะออกมาในรูปแบบ "ตรงกันข้าม" หากสังคมปฎิเสธต่อการใช้ยาเสพติด เธอกลับบอกว่ามันก็เป็นแค่ยาชนิดหนึ่ง หากสังคมบอกให้เธอทำแบบนี้เธอจะทำอะไรก็ตามที่สวนทางไปโดยทันที จงจำไว้ว่าการกระทำที่ตรงกันข้ามเหล่านั้น เธอก็ยังติดหล่มกับดักทางสังคมอยู่ดี เขายังคงเป็นผู้เลือกสรรที่จะให้เธอกระทำอยู่ดี สังคมบอกว่าขอต่อต้านการใช้เสพสิ่งเสพติด เธอบอก "งั้นกูจะไปเสพยา!" โดยการบอกว่า่ "ไม่ยอมทำตาม" นี่แหล่ะคือสิ่งคำตอบที่สังคมต้องการ


ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ยึดติดกับธรรมเนียมประเพณีนั่นแหล่ะคือผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ส่วนผู้ัที่มีปฎิกริยาต่อต้านนั้นก็ยังคงถูกผูกติดอยู่กับสังคม คนหนึ่งพูดว่า "ได้" ส่วนอีกคนพูดว่า "ไม่ได้" แต่ทั้ง2คนยังคงตอบสนองความเป็นไปในสังคมอยู่ดี 


ผู้ที่ต้องการมีอิสรภาพที่แท้จริงนั้นตอบ " กูไม่เอาทั้ง "เยส" กูไม่เอาทั้ง "โน" !


การมีอิสรภาำพแบ่งออกเป็น3แบบ


1. การเป็นอิสระจาก (Freedom From) 


เป็นอิสระในเชิงลบ อิสระจาก พ่อ แม่ วัด โบสถ์ สังคม เป็นอิสระในรูปแบบของ "การปฎิเสธ" ดูสวยงามเมื่อครั้นแรกเริ่มแต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมาย หากวันหนึ่งเธอได้รับอิสระจากครอบครัวแล้ว เธอจะทำอะไรต่อจากนั้น ? เธอจะพบว่า่มีอะไรบางอย่างที่หายไป เธอรู้สึกสูญเสีย เป็นคนไร้ความหมาย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอคือการบอกกับโลกว่า "ไม่!" แล้วตอนนี้ใครกันจะให้เธอบอกว่า"ไม่"?


หนุ่มบรามินผู้สูงศักดิ์ต้องการจะใช้ชีวิตคู่กับสาวปาร์ซี ทางครอบครัวของฝ่ายชายทำการคัดค้านอย่างถีึงที่สุด เขาบอกกับบุตรชายของตนว่าหากแต่งงานกับหญิงคนนั้นเขาจะตัดเขาออกจากวงศ์ตระกูลซึ่งมีเขาเป็นลูกโทน ทางฝ่ายชายมาขอคำปรึกษา ฉันบอกกับเขาไปว่าให้เขาลองไตร่ตรองด้วยตนเองภายใน3วัน เธอจะทราบว่า หญิงสาวคนนั้น หรือ คำยืนยันจากครอบครัว กันแน่ที่เธอสนใจ เขาตอบกลับ "ทำไมถึงพูดแบบนี้ ? ฉันรักเธอ ฉันตั้งมั่นกับความรักของฉัน !" ฉันจึงตอบไปว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จงแต่งงานเสียเถิด แต่ฉันมองไม่เห็นความรักในแววตาของเธอ สัมผัสไม่ได้กับความรักในหัวใจ ไม่มีกลิ่นอบเชยอันหอมหวลของไอรัก ฉันรู้สึกได้เำพียงออร่าในด้านลบที่อยู่รอบตัวเธอ มันปกคลุมไปทั่วใบหน้า มันฟ้องว่าแท้จริงแล้วเธอต้องการที่จะต่อต้านข่อเรียกร้องจากครอบครัวของเเธอเองเสียมากกว่า หญิงสาวเป็นเพียงข้ออ้าง


ุุ6เดือนหลังจากนั้น ฉันพบเขาอีกครั้งร้องไห้ครำ่ครวญ เขาล้มตัวลงแล้วกล่าวว่า "คุณพูดถูก ฉันไม่ได้รักเธอ ความรักของเราจบลงแล้ว พร้อมกันนั้นฉันได้ฝ่าฝืนความต้องการของพ่อแม่ ความรักทั้งหมดได้สูญสิ้นไปแล้ว"


นี่แหล่ะคือ "การเป็นอิสระจาก"  มันยังไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นอิสระด้วยซำ้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย


2. การเป็นอิสระเพื่่อ (Freedom For) 


เป็นอิสระในเชิงบวก คือการที่ความสนใจที่เธอมีต่อสิ่งใดไม่ได้ขัดแย้งกับปัจจัยอื่่นๆ นอกจากนั้นเธอยังอยากที่จะสร้างสรรค์บางอย่างอีกด้วย ยกตัวอย่าง เช่น เธอต้องการจะเป็น นักกวี แต่ทางครอบครัวของเธอต้องการให้เธอเป็น ช่างประปา "เป็นช่างประปาเสีย!" ค่าแรงค่าตอบแทน เงินสำหรับอดออม ความมรีหน้ามีตาในสังคม นักกวีเนี่ยหรือ ? เธอจะอยู่ได้อย่างไร ? จะเอาเงินที่ไหนมาจุนเจือครอบครัว ? นักกวีไม่สามารถเลี้ยงดูใครได้ !


แต่ถ้าหากเธอตัดสินใจที่จะเป็น อิสระ"เืพื่อ"งานประพันธ์กวีแล้วนั้น พร้อมที่ีจะเสี่ยงภัยอันตรายในทุกๆด้าน นี่แหล่ะอิสระที่สูงกว่าแบบแรก แม้ว่าเธอจะยากจนแต่เธอก็มีความสุขปิติล้นเหลือ แม้ว่าเธอยังต้องตัดไม้เพื่อแลกกับการที่ีจะได้ทำงานประพันธ์เธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความสำราญสมปราถนาเพราะเธอได้ทำในสิ่งที่เธออยากจะทำ


3. อิสระ (๋Just Freedom)


อิสระที่สูงที่สุดอยู่เหนือกว่าอิสระทั้งในเชิงลบ และ ในเชิงบวก  ในแบบแรกเธอได้ทราบถึง "การบอกปฎิเสธ" จากนั้นได้ทราบถึง "การตอบสนอง" มาถึงข้อนี้จงลืมทั้ง2อย่างนั้นไปเสีย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อิสระในแบบนี้ไม่ใช่อิสระที่จะไปต่อต้านกับสิ่งใด และ ไม่ได้มีไว้สำหรับจุดประสงค์อื่นใด มันเป็นเพียง "อิสระ" 


เป็นหนึ่งเดียว คือ กา่รเป็นอิสระ เมื่อ "เยส" ถูกทำลาย "โน" ก็ถูกโยนทิ้ง นั่นแหละคืออิสระที่สูงสุด


คำว่า Responsibilty (ความรับผิดชอบ) คือการบรรลุเป้าหมายตามความต้องการที่สร้างขึ้นมาจากผู้อาวุโสกว่าในสังคมของเธอ หากเธอทำการตอบสนอง "เธอเป็นผู้มีความรับผิดชอบ" หากไม่ทำตามนั้น "เธอเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ"


แท้จริงแล้ว Responsibilty คำนี้แยกออกมาได้เป็น2คำได้ความหมายว่า Response (ตอบสนอง) + Ability (ความสามารถ) และการตอบสนองจะเกิดขึ้นได้หากเธอให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ณ เวลาปัจจุบันเท่านั้น 


Response การตอบสนองหมายถึง การเอาใจใส่้ ความตื่นตัว ความมีสติพร้อมเพรียงกันมา ณ ที่นี่ ตอนนี้ ในปัจจุบันขณะ ไม่ว่าอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นเธอจะสนองตอบด้วยคุณสมบัติตามธรรมชาติที่เธอมีอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์บ้าบอที่ผู้ใดคอยอวดอ้าง มันหมายถึง "การเป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันขณะ"


ชีวิตคนเราในแต่ละวันนำพามาซึ่งวินาทีแห่งการเปลี่ยนแปลง คืนวันอันแปลกหน้า หากยังเธอยังมัวรีรอหาป้ายบอกทางจากประสบการณ์ในอดีต เธอจะพลาดโอกาสทองในการตอบสนองความสามารถ การปลดปล่อยตนเองไปตามสัญชาตญาณ สำหรับฉันแล้ว ศีลธรรมความดีงามคือการปฎิบัติตนไปตามธรรมชาติตามสัญชาตญาณนี่แหล่ะ เธอจะทำแต่ในสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะความ "ตื่นตระหนักรู้" จะคอยส่งเสริม นอกเหนือจากนั้นแล้วเธอไม่ต้องการสิ่งใดอีกเลย เพราะเธอเพ่งความคิดมายังปัจจุบันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อะไรอีกเล่าที่เธอจะต้องทำ? พละกำลังของเธอทั้งหมดพร้อมด้วยสติปัญญาต่างหาคำตอบให้กับทุกคำถามเพื่อผ่านสู่วินาทีใหม่ล่าสุด ดังนั้นอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นมันจึงเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว


นี่คือวิธีคิดในเรื่องของคำว่า Responsibility และการใช้ชีวิตโดยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ถูกบอกกล่าวผ่านปากคำของใครก็ตามที่ไม่ได้ต้องการให้เธออยู่กับปัจจับันขณะ เขาคอยให้คำปรึกษาให้คำชี้แนะว่าควรประพฤติเช่นไร ทำตัวแบบไหน แต่เขาไม่เคยรู้ว่าอีกชีวิตหนึ่งซึ่งไม่ใช่ตัวเขาไม่สามารถเดินทางสอดคล้องไปกับ "คู่มือนำทาง" เล่มนั้นได้


จงอย่าให้อดีตมารังควาน อะไรที่ผ่านแล้วให้มันผ่านเลย เธอเท่านั้นที่จะต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ มีแต่เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ความสามารถจะสนองตอบ ซึ่งมันเพียงพอแล้วกับทุกสถาณการณ์ที่เธอเผชิญอยู่เบื้องหน้า


เธอเท่านั้นในขั้นตอนการวินิจฉัยครั้งสุดท้าย เป็นเธอมาตลอดเธอคือ "ผู้ชี้ชะขาด" ที่จะตัดสินว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอ จงจำเอาไว้เสีย! นี่แหล่ะคือกุญแจสำคัญ หากเธอเสียใจ นั่นเป็นเพราะเธอทั้งนั้น เธอรู้สึกไม่มีความสุข ขาดแคลน นั่นก็เพราะตัวของเธอเองนั่นแหละที่รับเอาความรู้สึกเหล่านั้นเข้ามา "ความรับผิดชอบ" คือสิ่งที่เธอต้องมีจงอย่าหวั่นเกรงต่อมัน หลายคนประหม่าหวาดหวั่นไปกับความรับผิดชอบพวกเขามองไม่เห็นอีกด้านหนึ่งของมัน อีกด้านหนึ่งบอกว่า "อิสรภาพ" หากใครบางคนขับเคี่ยวให้เธอต้องเป็นทุกข์และเธอไม่สามารถจะพาตัวเองออกมาจากความเศร้าหมองนั้นได้ เธอจะทำเช่นไร? ในความเป็นจริงนอกจากความประสงค์ของผู้อื่นจะไม่สามารถทำอะไรเธอได้แล้ว เธอยังไม่สามารถที่จะผ่านพ้นมันไปได้อีก ? เป็นภาระหน้าที่ของเธอต่างหากที่ต้องจัดการกับความทุกข์ หน้าที่ของเธอคือผู้ตัดสินใจ หากเธอไม่มีความสุขกับการเป็นทุกข์ก็จงปล่อยมันไปเสีย


ชาย2คนถูกคุมขังในเรื่องจำแห่งหนึ่ง มันเป็นคืนที่พระจัทร์เต็มดวง ทั้ง2ยืนอยู่ตรงหน้าต่างของกรงขังอันมืดมิด จันทร์นวลลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ชายคนหนึ่งมองไปยังดวงจันทร์ และมันเป็นช่วงฤดูฝน นำท่วมขังและโคลนตมเกลอะกลังอยู่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากเข้าทั้ง2 มันสกปรกและยังโชยกลิ่นเหม็น ชายคนแรกยังคงเฝ้ามองดวงจันทร์ต่อไป ส่วนอีกคนนั้นมองไปยังขี้โคลน ใช่แล้ว ชายคนที่มองไปยังขี้โคลนมีความรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก แต่ชายคนที่มองไปยังดวงจันทร์กลับสุขสว่าง และ อิ่มเอิบ แสงจันทร์ฉายส่องกระทบผิวหน้า ดวงตาของเขาเปร่งประกาย แล้วเขาก็ลืมไปเลยว่าตนคือผู้ต้องขัง


ทั้ง2ยืนอยู่ตรงที่เดียวกัน แต่กลับเลือกในสิ่งที่ต่างกัน นี่แหล่ะมนุษย์ 


หากพาเขาไปยังดงกุหลาบเขาจะคอยนับจำนวนหนามของดอกกุหลาบ เขาเป็นดั่งเครื่ีองคิดเลข ความรู้ทางคณิตศาสตร์ของเขานั้นแม่นยำเสมอและหลังจากที่นับจำนวนหนามได้เป็นพันๆ มันจึงเป็นไปตามตรรกะของเขาว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะเห็นไม้แค่เพียงดอกเดียว ในความเป็นจริงแล้วโลกภายในของเขาตั้งคำถามว่า"สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?" ก้านกุหลาบนั้นเต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม ดอกกุหลาบที่เราเห็นนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?ิ อาจะเป็นเรื่องเหลวไหล? ภาพหลอน? หรือต่อให้มันเกิดขึ้นจริงก็ตามฉันก็หาประโยชน์อะไรจากมันไม่ได้อยู่ดี


อีกคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นหนามของดอกกุหลาบมาก่อนเช่นกัน เขามองไปยังกุหลาบ และยังคงเพ่งมองมันเรื่อยไปซาบซึ้งได้ว่ามันคือพืชดอก สัมผัสได้ถึงความงดงาม เฉลิมฉลองไปกับทุกวินาทีที่ผ่านพ้น ในขณะที่ภายในกำลังเพ่งความสนใจไปยังดอกกุหลาบ เขาเริ่มมองหนามของกุหลาบในมุมมองที่ต่างออกไป "เจ้าหนามเหล่านี้มีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องดอกไม้อันสวยงาม" มันไม่ได้น่าเกลียดหน้ากลัวอีกต่อไป "หนามแหลมไม่ใช่สิ่งที่ตรงกันข้่ามกับความงามกุหลาบสวย" ทัศนคติด้านบวกจึงบังเกิด


มันคือตัวเธอเองทั้งนั้นที่จะเลิกเปิดรับใครเข้ามาในชีวิต "ความสว่างไสวทางจิตวิญญาณ" สามารถทำให้กระทั่งความตายดูสวยงาม ส่วน "ความเป็นผู้ไม่ตื่น" สามารถทำให้ชีวิตคนเราดูน่าเกียจน่าชังขึ้นมาได้ทุกเมื่อ แต่สำหรับความสว่างไสวทางจิตวิญญาณแล้วนั้น ความสวยงามที่คงอยู่ - คงความงาม ความสุขสงบอันล้นพ้น - สุขสวัสดิ์ภายใน


ฉะนั้นประเด็นมันจึงไม่ใช่เรื่องของการแปรเปลี่ยน ความอัปลักษณ์ มาสู่ ความงาม หรือการเปลี่ยน ความปวดร้าว ให้เป็น ความปิติยินดี การเปลี่ยน ทุกข์ ให้เป็น สุข  ไม่ใช่เด็ดขาด ! 


ประเด็นคือการเปลี่ยน ความไม่มีสติ ให้มี สติ ความมืดมัว ให้เป็น ความสว่างไสว มันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนโลกภายในตัวเธอ คือการจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมา่ยคุณภาพชีวิตอันสุขสงบ สลัดตนออกจากคุณภาพชีวิตในทางลบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น