อิทัปปัจจยตา
ตามตัวหนังสือแปลว่า
ความเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น
คือมีอยู่ในฐานะที่เป็น กฎตายตัว เป็นกฎที่มีอำนาจ เป็นกฎที่บังคับให้ทุกสิ่งต้องเป็นอย่างนี้ เพราะมันเป็นกระแสแห่งการเป็นไปอย่างนี้ คือการที่สิ่งต่างๆต้องเป็นไปตามกฎนั้น
แล้วผลที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ เป็นความสุขก็ดี เป็นความทุกข์ก็ดี หรือเป็นอะไรก็ดี ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวมกันทั้งโลก ผลอันนั้นคือตัว อิทัปปัจจยตา ในบทที่ว่า : ความเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น
สำหรับ สิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" นี้ มันเป็นปัญหามากมาย มากเหลือที่จะนับ แต่แล้วมันก็สรุปได้ว่า ปัญหาทั้งหมดนั้น มันเกิดมาจากความโง่ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าเอาเสียเลยก็มี รู้จักพระเจ้าอย่างผิดๆก็มี หรือบางทีก็แสดงความโง่ออกมาว่า ฉันมีพระเจ้าบ้าง ฉันไม่มีพระเจ้าบ้าง อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงนั้น สิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" มีได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่ต้องรู้สึกก็ได้ พระเจ้าที่ว่านี้ก็คือ อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นกฎนั่นแหล่ะ คือ พระเจ้า
พระเจ้าคืออะไร ? เด็กอมมือ หรือคนที่ได้รับคำสั่งสอนมาตั้งแต่เ็ด็ก จนโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้อย่างเ็ด็กอมมือ ก็สรุปเอาง่ายๆ ว่าพระเจ้านั้นคืออะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมีลักษณะเหมือนบุคคลที่น่ากลัว หรือว่าเป็นผี หรือว่าเป็นเทวดา หรือว่าเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จะว่าเป็นคนก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่คนก็ไม่ใช่ พวกเราในโลกเวลานี้ ทั้งที่เป็นฝรั่ง ทั้งที่เป็นไทย ได้ยินได้ฟังเรื่องพระเจ้ากันในลักษณะอย่างนี้ คือเข้าใจ พระเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคล หรือ Personal God พวกหนึ่งก็ว่าดีและนับถือ พวกหนึ่งก็ว่าไม่เอา แต่ทั้ง 2 พวกนั้นยังเข้าใจว่าพระเจ้านี้เป็นอย่างกับผีที่น่ากลัวอะไรสักอย่างหนึ่ง คนก็ไม่ใช่ ไม่ใช่คนก็ไม่ใช่ ถ้าใครรู้จักพระเจ้าในลักษณะอย่างนี้ ก็ขอให้ถือว่าเขารู้จักพระเจ้าอย่างเด็กอมมือ พระเจ้าชนิดนั้น ก็พลอยเป็น พระเจ้าเด็กอมมือ ไปด้วย สำหรับคนชนิดนั้น
แต่ถ้าพูดว่า พระเจ้าไม่ใช่คน ซึ่งจะเป็นอะไรก็ยังไม่ทราบ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่อะไร ล้วนแต่ยังไม่ทราบ แต่ว่ามันเ้ป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่ง มีหน้าที่ทำให้สิ่งทั้งหลายบทั้งปวงเกิดขึ้น แล้วก็ควบคุมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไว้ แล้วก็ทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นสลายตัวไปเป็นยุคๆ เพื่อจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าใครยอมรับว่าสิ่งนี้มี และมีคุณสมบัติอย่างนี้ นั้นก็เรียกได้ว่า เขาได้รู้จักกับพระเจ้าที่ถูกต้องตามความหมาย
สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันในเวลานี้ว่ากฎ คือ กฎของธรรมชาติื เช่น ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายทั้งหมดทุกอย่างในสากลจักรวาลนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? กำลังเป็นไปตามกฎอย่างไร? จะสูญหายไปอย่างไร? แล้วจะเกิดใหม่อย่างไร? ด้วยอำนาจของอะไร? กฎนั้นคือพระเจ้า
สำหรับเด็กอมมือต้องพูดว่า พระเจ้าเป็นคน บางทีเขียนรูปหนวดยาว ถ์อไม้เท้าด้วยซำ้ไป แต่ถ้าว่าโดยกฎนั้น ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี ไม่ใช่เทวดา เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเพียง กฎ หรือ อำนาจ ไม่ใช่รูปธรรมจึงไม่อาจเขียนเป็นรูปเป็นร่างได้
ทีนี้จะพูดกันสักนิดหนึ่งว่า เราเคยสับสนปนเปกันไปหมด คำว่า พระเจ้า ในภาษาไทยก็ดี คำว่า God ในภาษาโน้นก็ดี พระเจ้าในภาษาไทยนี้ชั่วสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น หมายถึงพระพุทธเจ้า นี่ฟังให้ดีว่าตามข้อเท็จจริงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ภาษาพูดในภาษาไทยเรา ที่ใช้พูดกันอยู่นี่ีในประเทศไทย ชั่วแค่สมัยอยุธยานี้ คำว่า พระเจ้า นี้ ใช้เล็งถึง พระพุทธเจ้า เช่นในกฎหมายตราสามดวงบทหนึ่งว่า ภิกษุนั้นอย่ารับมรดกเลย เพราะว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว นี่ฟังดูซิ กฎหมายนั้นว่า ภิกษุนั้นอย่าได้รับมรดกเลยหรือว่า อย่าได้ถือสิทธิอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกฎหมายเลย นี่เพราะว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าเสียแล้ว คือท่านบวชในศาสนานี้ ก็เรียกว่า เป็นลูกพระเจ้า ทั้งนั้น นี้ภาษาไทยคนไทยเรียงเอง ไม่ใช่พวกฝรั่งมาเรียงกฎหมายเหล่านี้ให้ ฉะนั้นชั่้วไม่กี่ปีนี้ คำว่า พระเจ้าหมายถึงพระพุทธเจ้า แล้วยังมีความหมายอย่างอื่นอีก
ดังนั้น อย่าเอาแน่กับตัวหนังสือที่ีใช้พูดจา ที่มนุษย์บัญญัติเฉพาะครั้งเฉพาะคราว ต้องเิอาความหมายอันแท้จริง ว่าสิ่งใดเป็นกฎอยู่ในตัวของมันเอง ไม่มีใครสร้างขึ้น แล้วไม่เชื่อฟังใคร แล้วบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหล่ะคือ พระเจ้าที่แท้จริง ใครจะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "สิ่งนี้มีอยู่ตถาคตจะเกิดหรือตถาคตจะไม่เกิด"
สิ่งนี้มีอยู่ คือ ตถาตา แปลว่า ความเป็นอย่างนั้น
สิ่งนี้มีอยู่ คือ อวิตถตา แปลว่า ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
สิ่งนี้มีอยู่ คือ อนัญญถตา แปลว่า ไม่เป็นไปโดยประการอื่นจา่กความเป็นอย่างนั้น
สิ่งนี้มีอยู่ คือ อิทัปปัจจยตา แปลว่า ความที่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ความหมายของคำว่า ตถาคต แปลว่า เช่นนั้นเอง นั่นแหล่ะคือ ผู้ซึ่งถึงความจริงแห่งความเป็นเช่นนั้น และเป็นสภาวะธรรมที่ใช้ต่อเมื่อ บรรลุนิพพาน แล้วเท่านั้น และยังเป็นคำที่พระพุทธเจ้าเรียกแทนตนเอง
"สิ่งนี้มีอยู่ตถาคตจะเกิดหรือตถาคตจะไม่เกิด" มีความหมายว่า
พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือจะไม่เกิดก็ตามแต่สิ่งๆนี้มันมีิอยู่ก่อนแล้ว
ฉะนั้่นขอให้สังเกตุให้ดีว่า พระเจ้านี้คือ อิทัีปปัจยตา : อิทัปปัจยตา นี้คือพระเจ้า
ท่านลองคิดดูทีว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่มี ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่? ทุกคนทำไมมานั่งอยู่ที่นี่? มาจากไหน? ใครสร้างมา? ถ้าตอบอย่า่งพุทธบริษัทก็ตอบว่า อิทัปปัจยตา สร้างมา จะสร้าง ต้นโคตร ต้นตระกูลมนุษย์คนแรกก็ อิทัปปจยตา หรือว่าพ่อแม่ที่เพิ่งสร้า่งมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ก็ อิทัปปัจยตา เพราะพ่อแม่นั้นก็คือตัวอิทัปปปัจยตา อาการที่สร้างมาก็เป็น อิทัปปัจยตา ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนก็ตาม มนุษย์ทุกคนนี้ อิทัปปัจจยตา สร้างขึ้นมา แล้วควบคุมเอาไว้ แล้วก็จะยุบจะเลิกเมื่อถึงคราวที่ควรจะยุบจะเลิกเ้ป็นคราวๆไป คือ พระเจ้าอิทัปปัจจยตา มีหน้าที่ สร้างขึิ้ื้นมา แล้วควบคุมไว้ตลอดเวลา แล้วก็จะยุบเลิกให้สลายไปเป็นคราวๆแล้วก็เพื่อสร้างขึ้นใหม่ เพื่อเกิดใหม่ นี่คิดดูซิว่า เรามีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า?
พระเจ้าที่นี่และเดี๋ยวนี้! จะเข้าถึงพระเจ้าต่อเมื่อตายแล้ว มันก็โง่ตามเดิม! ยิ่งพระเจ้าต่ออีกหลายชาติหลายสิบชาติแล้วยิ่งโง่หลายเท่า เพราะว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ และอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง
ต้องรู้จักกับพระเจ้าที่แท้จริงอย่างนี้ และจึงจะจัดการกับพระเจ้าเหล่านี้ให้ถูกต้อง แล้วปัญหาก็จะหมดไป นี่คือประโยชน์ของการรู้จัก อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น