วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ที่พักในสายนำ้

บทความต่อไปนี้ผมย่นย่อมาจากหัวข้อ " ที่พักในสายนำ้ "  หน้าที่141-148 จากหนังสือ " วันที่หัวใจกลับบ้าน " โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก มีนาคม 2554)




เป็นเวลานานนับชั่วโมงที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ เพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของห้วงยาม เป็นส่วนหนึ่งของ "เดี๋ยวนี้" ในลีลาแห่งรัตติกาล แม้ว่าสถานที่จะมิได้แปลกใหม่ หากยังเป็นจุดบรรจบระหว่างปากคลองบางน้อยกับลำนำแม่กลอง แต่ห้วงขณะที่ผุดบังเกิดถึงอย่างไรก็ไม่มีวันซำเดิม


แน่นอน สิ่งที่เขาค้นหาย่อมมิใช่ประสบการณ์เร้าใจและยังมิใช่แค่ลำคลองสายหนึ่งกับแม่นำอีกสายหนึ่ง หากคือ ปากประตูไปสู่ความจริงอีกชุดหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่า จริงกว่า "ความจริง"ที่ปรากฎอยู่บนความเคลื่อนไหวของสังคม


ใช่ มันคือปากประตูไปสู่จักรวาล ที่จะช่วยนำพาเขาหรือใครก็ตามที่รุ้จักในสิ่งเดียวกัน ไปสู่ความเชื่อมร้อยกับองค์รวม คืนสู่เหย้าและกลับเข้าแก่นแท้แห่งการดำรงอยู่


ถึงห้วงยามนั้น สิ่งที่เรียกว่าประตูจริงแล้วก็มิใช่ประตูไปสู่แห่งหนไหน หากคือสภาวะที่บังเกิดขึ้นและคลี่คลายขยายตัวโดยปราศจากแรงขับเคลื่อนของตรรกะเหตุผลใดๆ


ราวขุนเขาที่เผยยอดยามหมอกเมฆเลือนลับหาย
ราวแถบรุ้งและลำแดดที่โลมไล้ผิวทะเลหลังฝนมรสุม
ราวทางช้างเผือกพาดโค้งฟ้าในราตรีไร้จันทร์


คลื่นสัมผัสที่แผ่กว้างออกไปไม่ใช่ตัวตน คน สัตว์ หรือ เขาเรา ไม่ใช่สายนำ และมิใช่ความมืดยามคำคืน หากคือ ทุกอย่างหลอมรวมจนไม่อาจระบุรูปกำหนดนาม 


มีทุกอย่างแต่ไม่มีอะไรสักอย่างเป็นทุกอย่างโดยไม่เป็นอะไรเลย


เขาเชื่อว่านี่ต่างหากคือแก่นความจริงของชีวิต แต่จนแล้วจนรอดก็ดูเหมือนว่าตัวเองไม่อาจพำนักอยู่ในห้วงยามแบบนั้นได้อย่างยาวนาน อย่าแต่ว่าจะอยู่กับความจริงชุดนี้อย่างถาวร 


เขาเพียงรู้ชัดว่าตัวเองต้องการอะไร ทำได้แค่ไหนยังเป็นอีกประเด็นหนึ่ง


แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ตรงกันข้ามกับมุมมองของเขา บางคนกล่าวหาวิถีเช่นนี้เป็นการซ่อนตัวจากโลกแห่งความฝันซึ่งก็คือหลุดลอยไปจากโลกแห่งความจริง บ้างมองว่าทั้งหมดเป็นแค่การพักผ่อนหย่อน
ใจที่ไม่เลวนัก เพียงแต่ไม่สู้มีเวลาจะทำเอง นอกจากนี้ยังมีอยู่ไม่น้อยที่คิดว่าวิถีชีวิตของเขาไม่ใช่อะไรอื่น หากคืออาการของคนพ่ายแพ้ยอมจำนนหรือไม่ก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง


อันที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองได้ทำสิ่งใดที่ประหลาดนักหนา พียงแค่พยายามถอนตัวออกจากเรื่องสมมุติทั้งปวง จะว่าไปผู้คนต่างรู้ดีว่าสิ่งสมมุตินั้นไม่ใช่ความจริง แต่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนจำนวนมากจึงยินยอมอยู่กับสภาวะสมมุติแทบทุกด้านของชีวิต


ยกตัวอย่างเช่นหลายคนเฝ้าห่วงใยแต่อนาคต ยอมฝืนใจตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคต ยอมฝืนใจตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคต ไม่เพียงแต่อนาคตของตัวเองเท่านั้นหากยังลามเลยไปถึงลูกหลาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหาเงินเท่าไรก็ไม่พอ เหนื่อยยากแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ เพราะกลัวตัวเองและคนที่ตัวเองรักไม่มีอนาคต


แล้วถามว่าอนาคตคืออะไรอยู่ที่ไหน เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครตอบได้ เนื่องจากสิ่งที่พูดถึงเป็นเพียงจินตนาการเกี่ยวกับชีวิตที่อยากมีอยากเป็นในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า ซึ่งตามความจริงแล้วก็คือไม่มี
ใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง


เพราะฉะนั้น การเป็นเจ้าของอนาคตย่อมไม่ใช่อะไรอื่นหากคือการถือครองสิ่งที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่ไหนเลยนอกจากในห้วงนึกของตัวเอง อันนี้นับเป็นเรื่องสมมุติที่เหลือเชื่อ


เท่านั้นยังไม่พอควบคู่ไปกับอนาคตยังมีเรื่องคุณค่าของของสรรพสิ่ง ที่ถูกนำมาประกอบส่วนเข้ากับนิยามชีวิตที่ดี ในเรื่องนี้อะไรก็ไม่ถูกยึดถือเท่ากับเงินทอง การศึกษาและฐานะทางสังคม 


มีเงินมากถูกสมมุติให้เป็นความสุข 


เรียนหนังสือสูงถูกสมมุติให้มีความรู้


มียศถาบรรดาศักดิ์ถูกสมมุติให้เทียบเท่ามีคุณงามความดี


อันนี้ที่จริงหลายคนก็รู้ว่าโลกไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เงินทองที่มากเกินอาจนำมาซึ่งความทุกข์ปริญญาหลายใบไม่ได้หมายถึงความรู้ที่มากกว่าอื่น อีกทั้งผู้คนที่ไร้ยศไร้ศักดิ์อาจจะมีคุณสมบัติทางจิตใจสูงกว่าผู้มีฐานะทางสังคมก็ได้


ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการหาเงินที่สวนทางกับสัมมาอาชีวะ การศึกษาที่อัดแน่นไปด้วยอวิชชา และฐานันดรที่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบ


พูดกันสั้นๆง่ายๆ เขาไม่เชื่อว่ามนุษย์จะค้นพบอะไรเป็นแก่นสาร ตราบใดที่ยังฝากคุณค่าของชีวิตไว้กับสิ่งต่างๆนอกตัว...ซึ่งเป็นส่วนใหญ่เป็นมายา


ไม่เพียงแต่เท่านั้น การฝากคุณค่าของชีวิตไว้กับสิ่งสมมุติ ยังนำไปสู่ภาวะสมมุติอันทรงพลังที่สุดและมีผลต่อพฤติกรรมผู้คนมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องผิดถูกดีชั่วผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเรื่องนี้เกลียดชังกันเพราะเรื่องนี้ กระทั่งรบราฆ่าฟันกันเพราะเรื่องนี้ 


แต่ถ้าถามว่ามีถูกผิดกี่ข้อที่มิได้สมมุติขึ้น หลายคนคงตอบไม่ได้


แน่ละ ในการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก หากไม่มีจินตนาการใดให้ยึดเหนี่ยวเลยก็คงอยู่ด้วยกันยาก แต่ถ้ายึดถือในเรื่องสมมุติมากเกินไป หรือปรุงแต่งจินตนาการออกมาต่างกันมากเกินไปก็อยู่ร่วมกันได้ยากอีกเช่นกัน


อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าห่วงคือในประเด็นผิดถูกชั่วดีนั้นบ่อยครั้งผู้คนมักจะปรุงมันขึ้นมาจากผลประโยชน์หรือไม่ก็อัตตาของตน ซึ่งก็ถูกปรุงมาแล้วชั้นหนึ่งด้วยคุณค่าสมมุติต่างๆ ครั้นทั้งหมดถูกแปรรูปเป็นกรอบคิดที่คุมขังเจ้าของไว้หนาแน่น จึงเป็นการยากที่จะถอนตัว


ยิ่งสถานการณ์บานครอบไปถึงประเด็นการใช้อำนาจหรือจินตนาการเกี่ยวกับส่วนรวมด้วยแล้ว หลายคนถึงกับพร้อมฆ่ากันตาย


เราสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
เราทำเพื่อชาติ...
ทั้งหมดนี้เป็นผลประโยชน์ของประชาชน
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน
ฆ่ามัน ๆ
ฯลฯ


เรื่องที่น่าเศร้ากว่านี้คือ ตามบทเรียนที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ หลังจากบาดเจ็บล้มตายกันไปจำนวนมากแล้ว บางทีกระแสสังคมก็ทิ้งสมมุติเก่าๆไปหาสมมุติใหม่มายึดถือ จนทำให้การสูญเสียที่เกิดขึ้นแทบกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเลย


นึกภาพทหารปลดแอกประชาชนจีนที่นอนอยู่ในหลุมศพนับล้าน ไม่ทราบพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร หากรู้ว่าฝ่ายนำที่ปักกิ่งหันมาสร้างทุนนิยมแทนสังคมนิยม


เช่นเดียวกับ นักรบเพื่อเอกราชของเวียดนามซึ่งตายไปนับล้านเช่นกัน พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าในวันนี้ผู้นำระดับสูงของประเทศที่เคยถูกตราว่าเป็นศัตรูตัวร้ายอย่างสหรัฐอเมริกากลับกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติอยู่ในกรุงฮานอย


ยังไม่ต้องเอ่ยถึงทหารป่าของขบวนการปฏิวัติไทย ซึ่งฝังร่างอยู่ในแทบทุกเทือกเขา...


ใช่หรือไม่ว่าชีวิตที่หมุนวนอยู่ในกรอบสมมุติมักจะลงเอยด้วยความผิดหวัง เจ็บปวด เหงา และเศร้าอยู่รำไป




นำขึ้นมาพักหนึ่งแล้ว...


ขณะที่แม่กลองถูกปกคลุมด้วยความมืดจนดูไม่ออกคลองบางน้อยกลับนวลสลัวอยู่ใต้แสงไฟเทศบาลด้วยเหตุนี้กระแสนำซึ่งไหลเอื่อยเข้ามาทางปากคลอง จึงเหมือนสายนำที่มีความมืดเป็นธาร และอีกสักพักใหญ่ๆสายนำนี้ก็จะไหลคืนสู่ความมืดดังเดิม


คล้ายสายธารแห่งชีวิต... เขาครุ่นคิด... เราไม่เคยรู้ที่มาแท้จริงของมัน


กระนั้นก็ตาม ในห้วงยามที่เพ่งมองภาพนี้เขากลับรู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ปราศจากสมมุติฐานหรือทฤษฎีชี้นำ ตลอดจนไร้เหตุผลได้โดยไม่ต้องมีข้อแก้ตัว เขาเริ่มแยกไม่ออกว่าตัวเองหายเข้าไปอยู่ในภาพทั้งหมดหรือความเคลื่อนไหวทั้งหมดได้กลายเป็นตัวเอง ที่แน่ๆ คือเขาไม่รู้สึกมีตัวเองในความหมายสามัญ


เขารู้สึกว่าได้อาศัยพักพิงอยู่ในเงาสะท้อนเหล่านั้นเป็นเวลาเนิ่นนานทีเดียว


กระทั่งในที่สุด กระแสนำลงก็บอกกับเขาว่ากลับไปเถอะกลับไปอยู่กับมายา อยู่กับมัน กระทั่งสนุกกับมันได้เป็นครั้งคราว


แต่เพียงต้องรู้ว่ามันเป็นมายา

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พุทธทาสภิกขุ : อิทัปปัจจยตา ในฐานะเป็น "พระเป็นเจ้า"

บทความต่อไปนี้ผมย่นย่อมาจาก บทที่ 3 อิทัปปัจจยตา ในฐานะเป็น "พระเป็นเจ้า" หน้าที่ 119-153 จากหนังสือ อิทัปปัจจยตา โดย  พุทธทาสภิกขุ



อิทัปปัจจยตา 

ตามตัวหนังสือแปลว่า 

ความเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น

 "ความเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น" นั่นแหล่ะ มันมีอยู่ทั่วไปทุกแห่งในตัวเรา นอกตัวเรา นี่อย่างหนึ่ง แล้วมันมีอยู่อย่างน่ากลัวที่สุด


คือมีอยู่ในฐานะที่เป็น กฎตายตัว เป็นกฎที่มีอำนาจ เป็นกฎที่บังคับให้ทุกสิ่งต้องเป็นอย่างนี้  เพราะมันเป็นกระแสแห่งการเป็นไปอย่างนี้ คือการที่สิ่งต่างๆต้องเป็นไปตามกฎนั้น

แล้วผลที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ เป็นความสุขก็ดี เป็นความทุกข์ก็ดี หรือเป็นอะไรก็ดี ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวมกันทั้งโลก ผลอันนั้นคือตัว อิทัปปัจจยตา ในบทที่ว่า : ความเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น





สำหรับ สิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" นี้ มันเป็นปัญหามากมาย มากเหลือที่จะนับ แต่แล้วมันก็สรุปได้ว่า ปัญหาทั้งหมดนั้น มันเกิดมาจากความโง่ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าเอาเสียเลยก็มี รู้จักพระเจ้าอย่างผิดๆก็มี หรือบางทีก็แสดงความโง่ออกมาว่า ฉันมีพระเจ้าบ้าง ฉันไม่มีพระเจ้าบ้าง อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงนั้น สิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" มีได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่ต้องรู้สึกก็ได้  พระเจ้าที่ว่านี้ก็คือ อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น


อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นกฎนั่นแหล่ะ คือ พระเจ้า


พระเจ้าคืออะไร ? เด็กอมมือ หรือคนที่ได้รับคำสั่งสอนมาตั้งแต่เ็ด็ก จนโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้อย่างเ็ด็กอมมือ ก็สรุปเอาง่ายๆ ว่าพระเจ้านั้นคืออะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมีลักษณะเหมือนบุคคลที่น่ากลัว หรือว่าเป็นผี หรือว่าเป็นเทวดา หรือว่าเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จะว่าเป็นคนก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่คนก็ไม่ใช่ พวกเราในโลกเวลานี้ ทั้งที่เป็นฝรั่ง ทั้งที่เป็นไทย ได้ยินได้ฟังเรื่องพระเจ้ากันในลักษณะอย่างนี้ คือเข้าใจ พระเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคล หรือ Personal God พวกหนึ่งก็ว่าดีและนับถือ พวกหนึ่งก็ว่าไม่เอา แต่ทั้ง 2 พวกนั้นยังเข้าใจว่าพระเจ้านี้เป็นอย่างกับผีที่น่ากลัวอะไรสักอย่างหนึ่ง คนก็ไม่ใช่ ไม่ใช่คนก็ไม่ใช่ ถ้าใครรู้จักพระเจ้าในลักษณะอย่างนี้ ก็ขอให้ถือว่าเขารู้จักพระเจ้าอย่างเด็กอมมือ พระเจ้าชนิดนั้น ก็พลอยเป็น พระเจ้าเด็กอมมือ ไปด้วย สำหรับคนชนิดนั้น

แต่ถ้าพูดว่า พระเจ้าไม่ใช่คน ซึ่งจะเป็นอะไรก็ยังไม่ทราบ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่อะไร ล้วนแต่ยังไม่ทราบ แต่ว่ามันเ้ป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่ง มีหน้าที่ทำให้สิ่งทั้งหลายบทั้งปวงเกิดขึ้น แล้วก็ควบคุมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไว้ แล้วก็ทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นสลายตัวไปเป็นยุคๆ เพื่อจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าใครยอมรับว่าสิ่งนี้มี และมีคุณสมบัติอย่างนี้ นั้นก็เรียกได้ว่า เขาได้รู้จักกับพระเจ้าที่ถูกต้องตามความหมาย

สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันในเวลานี้ว่ากฎ คือ กฎของธรรมชาติื เช่น ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายทั้งหมดทุกอย่างในสากลจักรวาลนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? กำลังเป็นไปตามกฎอย่างไร? จะสูญหายไปอย่างไร? แล้วจะเกิดใหม่อย่างไร? ด้วยอำนาจของอะไร? กฎนั้นคือพระเจ้า


สำหรับเด็กอมมือต้องพูดว่า พระเจ้าเป็นคน บางทีเขียนรูปหนวดยาว ถ์อไม้เท้าด้วยซำ้ไป แต่ถ้าว่าโดยกฎนั้น ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี ไม่ใช่เทวดา เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเพียง กฎ หรือ อำนาจ ไม่ใช่รูปธรรมจึงไม่อาจเขียนเป็นรูปเป็นร่างได้

ทีนี้จะพูดกันสักนิดหนึ่งว่า เราเคยสับสนปนเปกันไปหมด คำว่า พระเจ้า ในภาษาไทยก็ดี คำว่า God ในภาษาโน้นก็ดี พระเจ้าในภาษาไทยนี้ชั่วสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น หมายถึงพระพุทธเจ้า นี่ฟังให้ดีว่าตามข้อเท็จจริงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ภาษาพูดในภาษาไทยเรา ที่ใช้พูดกันอยู่นี่ีในประเทศไทย ชั่วแค่สมัยอยุธยานี้ คำว่า พระเจ้า นี้ ใช้เล็งถึง พระพุทธเจ้า เช่นในกฎหมายตราสามดวงบทหนึ่งว่า ภิกษุนั้นอย่ารับมรดกเลย เพราะว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว นี่ฟังดูซิ กฎหมายนั้นว่า ภิกษุนั้นอย่าได้รับมรดกเลยหรือว่า อย่าได้ถือสิทธิอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกฎหมายเลย นี่เพราะว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าเสียแล้ว คือท่านบวชในศาสนานี้ ก็เรียกว่า เป็นลูกพระเจ้า ทั้งนั้น นี้ภาษาไทยคนไทยเรียงเอง ไม่ใช่พวกฝรั่งมาเรียงกฎหมายเหล่านี้ให้ ฉะนั้นชั่้วไม่กี่ปีนี้ คำว่า พระเจ้าหมายถึงพระพุทธเจ้า แล้วยังมีความหมายอย่างอื่นอีก

ดังนั้น อย่าเอาแน่กับตัวหนังสือที่ีใช้พูดจา ที่มนุษย์บัญญัติเฉพาะครั้งเฉพาะคราว ต้องเิอาความหมายอันแท้จริง ว่าสิ่งใดเป็นกฎอยู่ในตัวของมันเอง ไม่มีใครสร้างขึ้น แล้วไม่เชื่อฟังใคร แล้วบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหล่ะคือ พระเจ้าที่แท้จริง ใครจะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "สิ่งนี้มีอยู่ตถาคตจะเกิดหรือตถาคตจะไม่เกิด" 


สิ่งนี้มีอยู่ คือ ตถาตา  แปลว่า ความเป็นอย่างนั้น
สิ่งนี้มีอยู่ คือ อวิตถตา  แปลว่า ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
สิ่งนี้มีอยู่ คือ อนัญญถตา  แปลว่า ไม่เป็นไปโดยประการอื่นจา่กความเป็นอย่างนั้น


สิ่งนี้มีอยู่ คือ อิทัปปัจจยตา  แปลว่า ความที่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น

ความหมายของคำว่า ตถาคต แปลว่า เช่นนั้นเอง นั่นแหล่ะคือ ผู้ซึ่งถึงความจริงแห่งความเป็นเช่นนั้น และเป็นสภาวะธรรมที่ใช้ต่อเมื่อ บรรลุนิพพาน แล้วเท่านั้น และยังเป็นคำที่พระพุทธเจ้าเรียกแทนตนเอง

"สิ่งนี้มีอยู่ตถาคตจะเกิดหรือตถาคตจะไม่เกิด"  มีความหมายว่า 
พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือจะไม่เกิดก็ตามแต่สิ่งๆนี้มันมีิอยู่ก่อนแล้ว


ฉะนั้่นขอให้สังเกตุให้ดีว่า พระเจ้านี้คือ อิทัีปปัจยตา : อิทัปปัจยตา นี้คือพระเจ้า


ท่านลองคิดดูทีว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่มี ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่? ทุกคนทำไมมานั่งอยู่ที่นี่? มาจากไหน? ใครสร้างมา? ถ้าตอบอย่า่งพุทธบริษัทก็ตอบว่า อิทัปปัจยตา สร้างมา จะสร้าง ต้นโคตร ต้นตระกูลมนุษย์คนแรกก็ อิทัปปจยตา หรือว่าพ่อแม่ที่เพิ่งสร้า่งมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ก็ อิทัปปัจยตา เพราะพ่อแม่นั้นก็คือตัวอิทัปปปัจยตา อาการที่สร้างมาก็เป็น อิทัปปัจยตา ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนก็ตาม มนุษย์ทุกคนนี้ อิทัปปัจจยตา สร้างขึ้นมา แล้วควบคุมเอาไว้ แล้วก็จะยุบจะเลิกเมื่อถึงคราวที่ควรจะยุบจะเลิกเ้ป็นคราวๆไป คือ พระเจ้าอิทัปปัจจยตา มีหน้าที่ สร้างขึิ้ื้นมา แล้วควบคุมไว้ตลอดเวลา แล้วก็จะยุบเลิกให้สลายไปเป็นคราวๆแล้วก็เพื่อสร้างขึ้นใหม่ เพื่อเกิดใหม่ นี่คิดดูซิว่า เรามีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า?

พระเจ้าที่นี่และเดี๋ยวนี้! จะเข้าถึงพระเจ้าต่อเมื่อตายแล้ว มันก็โง่ตามเดิม! ยิ่งพระเจ้าต่ออีกหลายชาติหลายสิบชาติแล้วยิ่งโง่หลายเท่า เพราะว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ และอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง

ต้องรู้จักกับพระเจ้าที่แท้จริงอย่างนี้ และจึงจะจัดการกับพระเจ้าเหล่านี้ให้ถูกต้อง แล้วปัญหาก็จะหมดไป นี่คือประโยชน์ของการรู้จัก อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริง

แปลเพลง



Bob Marley - Get up, Stand up


บ็อบ มาร์ลีย์ - จงตื่นตัว จงยืนขึ้น


----------------



(** ท่อนฮุค **)

Get up, stand up stand up for your rights!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up stand up for your rights!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up stand up for your rights!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up don't give up the fight!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ขออย่าละเลยเลิกร้าง

( ท่อน1 )

Preacher man, don't tell me,

ผู้แสดงธรรม จงเงียบปาก

Heaven is under the earth.

ที่ว่า สวงสวรรค์อยู่เหนือโลกา

I know you don't know

พบได้ในทันที ว่าท่านไม่เคยรู้

What life is really worth.

ช่วงชีวิตคนเราคุ้มค่าเพียงไร

It's not all that glitters is gold

ความสุขสว่างไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทอง

'Alf the story has never been told

จงอย่าเอาเรื่องผีสางนางไม้มากล่าวอ้าง

So now you see the light, eh!

แล้วเธอก็ได้พบกับทางสว่างที่แท้จริง

Stand up for your rights. come on!

ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม ! มาเถิด !

(** ท่อนฮุค **)

Get up, stand up stand up for your rights!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up stand up for your rights!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up stand up for your rights!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up don't give up the fight!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น ขออย่าละเลยเลิกร้าง

( ท่อน2 )

Most people think,

หลายท่านเชื่อว่า

Great god will come from the skies,

พระผู้เป็นเจ้าเดินทางลงมาจากฟากฟ้า

Take away everything

เลือกสรรค์สิ่งใดได้ดั่งใจหวัง

And make everybody feel high.

ดลบันดาลให้ใจคนเบิกบาน

But if you know what life is worth,

แต่หากเธอได้ทราบถึงคุณค่าของการมีชีวิต

You will look for yours on earth

เธอจะเห็นได้เมื่อตอนเธออยู่บนโลกนี้เท่านั้น

And now you see the light,

แล้วเธอก็ได้พบกับทางสว่างที่แท้จริง

You stand up for your rights. jah!

จงตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม ! จาห์ !

(** ท่อนฮุค **)

Get up, stand up! (jah, jah! )

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น! (จาห์ จาห์)

Stand up for your rights! (oh-hoo! )

ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม! (โอ-ฮู!)

Get up, stand up! (get up, stand up! )

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น! (จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!)

Don't give up the fight! (life is your right! )

ขออย่าละเลยเลิกร้าง! (ชีวิตเป็นของเธอ!)

Get up, stand up! (so we can't give up the fight! )

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น! (ฉะนั้นจงอย่าทำเพิกเฉย)

Stand up for your rights! (lord, lord! )

ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม! ( คุณพระ! คุณพระ!)

Get up, stand up! (keep on struggling on! )

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น! (ขอจงเดินหน้าฝ่าฟัน!)

Don't give up the fight! (yeah! )

ขออย่าละเลยเลิกร้าง! (เยห์)

( ท่อน3 )

We sick an' tired of-a your ism-skism game -

เราทั้งเหนื่อยและหน่ายไปกับลัทธิความเชื่อ

Dyin' 'n' goin' to heaven in-a Jesus' name, lord.

ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ในพระนามขององค์เยซูเจ้า

We know when we understand

เธอจะทราบก็เมื่อเธอมีความเข้าใจ

Almighty god is a living man.

ว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คือคนเดินดิน

You can fool some people sometimes,

ท่านอาจหลอกผู้คนได้ในบางคราว

But you can't fool all the people all the time.

แต่ท่านไม่สามารถหลอกทุกผู้ทุกคนได้ไปตลอดเวลา

So now we see the light (what you gonna do?),

แล้วเราก็ได้พบกับทางสว่าง (เธอจะทำเช่นไร?)

We gonna stand up for our rights! (yeah, yeah, yeah! )

เราจึงตั้งมั่นในสิ่งที่เราเชื่อว่า "สมเหตุและสมผล" ! (เยห์,เยห์,เยห์)

(** ท่อนฮุค **)

So you better

ดังนั้นเธอจง

Get up, stand up! (in the morning! git it up! )

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น! (ยามรุ่งอรุณ! จงลุกขึ้น!)

Stand up for your rights! (stand up for our rights! )

ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม! (ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม !)

Get up, stand up!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!

Don't give up the fight! (don't give it up, don't give it up! )

ขออย่าละเลยเลิกร้าง! (ขออย่าละเลย, ขออย่าละเลย!)

Get up, stand up! (get up, stand up! )

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น! (จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!)

Stand up for your rights! (get up, stand up! )

ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม! (จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!)

Get up, stand up!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!

Don't give up the fight! (get up, stand up! )

ขออย่าละเลยเลิกร้าง! (จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!)

Get up, stand up!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!

Stand up for your rights!

ตั้งมั่นในสิ่งที่เหมาะสม!

Get up, stand up!

จงตื่นตัว จงยืนขึ้น!

Don't give up the fight!

ขออย่าละเลยเลิกร้าง!

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Responsibility of Being Free

บทความต่อไปนี้ผมแปลและย่นย่อมาจากหัวข้อ The Responsibility of Being Free หน้าที่ 58-68 จากหนังสือ  Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times โดย  Osho 
(ทุกตัวอักษรถูกแปลจากอังกฤษเป็นไทย ไม่ปฎิเสธเรื่องที่ว่าในแต่ละครั้งของการแปลบทความเหล่านี้จะเจือปนความรู้ความเข้าใจของตัวผู้แปลลงไปด้วย ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)




ความรับผิดชอบต่อชีวิตที่เป็นอิสรภาพ

ยิ่งเธอได้รับอิสรภาพมากขึ้นเท่าใดความรับผิดชอบยิ่้งต้องมีมากขึ้น เธอจำเป็นต้องตื่นตัวทั้งในสิ่้งที่เธอกระทำ ที่เธอพูด ไม่เว้นกระทั่งกริืยาเล็กน้อยในยามที่เธอจะไม่รู้สึกตัวก็ตาม เพราะไม่มีใครมาคอยควบคุมดูแลเธอ มีแต่ตัวเธอเพียงลำพังเท่านั้น เมื่อฉันบอกกับเธอว่า่ "เธอเป็นอิสระ" ฉันหมายความว่า " เธอนั่้นแหล่ะคือพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองหากแต่เป็นยังเพียง "นักเรียนเตรียม"


การเป็นอิสระจากสังคมนั้นยังไม่เพียงพอ อิสระแล้วต้องตามมาด้วยความรับผิดชอบ อิสระแล้วต้องตามมาด้วยหน้าที่ต่อการมีอิสระ หากมิฉะนั้นแล้วเธอจะยังคงถูกผูกติดกับรูปแบบเดิมๆ ปฎิกริยาที่ว่านั้นคือ "การต่อต้าน" การกระทำที่ีจะออกมาในรูปแบบ "ตรงกันข้าม" หากสังคมปฎิเสธต่อการใช้ยาเสพติด เธอกลับบอกว่ามันก็เป็นแค่ยาชนิดหนึ่ง หากสังคมบอกให้เธอทำแบบนี้เธอจะทำอะไรก็ตามที่สวนทางไปโดยทันที จงจำไว้ว่าการกระทำที่ตรงกันข้ามเหล่านั้น เธอก็ยังติดหล่มกับดักทางสังคมอยู่ดี เขายังคงเป็นผู้เลือกสรรที่จะให้เธอกระทำอยู่ดี สังคมบอกว่าขอต่อต้านการใช้เสพสิ่งเสพติด เธอบอก "งั้นกูจะไปเสพยา!" โดยการบอกว่า่ "ไม่ยอมทำตาม" นี่แหล่ะคือสิ่งคำตอบที่สังคมต้องการ


ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ยึดติดกับธรรมเนียมประเพณีนั่นแหล่ะคือผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ส่วนผู้ัที่มีปฎิกริยาต่อต้านนั้นก็ยังคงถูกผูกติดอยู่กับสังคม คนหนึ่งพูดว่า "ได้" ส่วนอีกคนพูดว่า "ไม่ได้" แต่ทั้ง2คนยังคงตอบสนองความเป็นไปในสังคมอยู่ดี 


ผู้ที่ต้องการมีอิสรภาพที่แท้จริงนั้นตอบ " กูไม่เอาทั้ง "เยส" กูไม่เอาทั้ง "โน" !


การมีอิสรภาำพแบ่งออกเป็น3แบบ


1. การเป็นอิสระจาก (Freedom From) 


เป็นอิสระในเชิงลบ อิสระจาก พ่อ แม่ วัด โบสถ์ สังคม เป็นอิสระในรูปแบบของ "การปฎิเสธ" ดูสวยงามเมื่อครั้นแรกเริ่มแต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมาย หากวันหนึ่งเธอได้รับอิสระจากครอบครัวแล้ว เธอจะทำอะไรต่อจากนั้น ? เธอจะพบว่า่มีอะไรบางอย่างที่หายไป เธอรู้สึกสูญเสีย เป็นคนไร้ความหมาย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอคือการบอกกับโลกว่า "ไม่!" แล้วตอนนี้ใครกันจะให้เธอบอกว่า"ไม่"?


หนุ่มบรามินผู้สูงศักดิ์ต้องการจะใช้ชีวิตคู่กับสาวปาร์ซี ทางครอบครัวของฝ่ายชายทำการคัดค้านอย่างถีึงที่สุด เขาบอกกับบุตรชายของตนว่าหากแต่งงานกับหญิงคนนั้นเขาจะตัดเขาออกจากวงศ์ตระกูลซึ่งมีเขาเป็นลูกโทน ทางฝ่ายชายมาขอคำปรึกษา ฉันบอกกับเขาไปว่าให้เขาลองไตร่ตรองด้วยตนเองภายใน3วัน เธอจะทราบว่า หญิงสาวคนนั้น หรือ คำยืนยันจากครอบครัว กันแน่ที่เธอสนใจ เขาตอบกลับ "ทำไมถึงพูดแบบนี้ ? ฉันรักเธอ ฉันตั้งมั่นกับความรักของฉัน !" ฉันจึงตอบไปว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จงแต่งงานเสียเถิด แต่ฉันมองไม่เห็นความรักในแววตาของเธอ สัมผัสไม่ได้กับความรักในหัวใจ ไม่มีกลิ่นอบเชยอันหอมหวลของไอรัก ฉันรู้สึกได้เำพียงออร่าในด้านลบที่อยู่รอบตัวเธอ มันปกคลุมไปทั่วใบหน้า มันฟ้องว่าแท้จริงแล้วเธอต้องการที่จะต่อต้านข่อเรียกร้องจากครอบครัวของเเธอเองเสียมากกว่า หญิงสาวเป็นเพียงข้ออ้าง


ุุ6เดือนหลังจากนั้น ฉันพบเขาอีกครั้งร้องไห้ครำ่ครวญ เขาล้มตัวลงแล้วกล่าวว่า "คุณพูดถูก ฉันไม่ได้รักเธอ ความรักของเราจบลงแล้ว พร้อมกันนั้นฉันได้ฝ่าฝืนความต้องการของพ่อแม่ ความรักทั้งหมดได้สูญสิ้นไปแล้ว"


นี่แหล่ะคือ "การเป็นอิสระจาก"  มันยังไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นอิสระด้วยซำ้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย


2. การเป็นอิสระเพื่่อ (Freedom For) 


เป็นอิสระในเชิงบวก คือการที่ความสนใจที่เธอมีต่อสิ่งใดไม่ได้ขัดแย้งกับปัจจัยอื่่นๆ นอกจากนั้นเธอยังอยากที่จะสร้างสรรค์บางอย่างอีกด้วย ยกตัวอย่าง เช่น เธอต้องการจะเป็น นักกวี แต่ทางครอบครัวของเธอต้องการให้เธอเป็น ช่างประปา "เป็นช่างประปาเสีย!" ค่าแรงค่าตอบแทน เงินสำหรับอดออม ความมรีหน้ามีตาในสังคม นักกวีเนี่ยหรือ ? เธอจะอยู่ได้อย่างไร ? จะเอาเงินที่ไหนมาจุนเจือครอบครัว ? นักกวีไม่สามารถเลี้ยงดูใครได้ !


แต่ถ้าหากเธอตัดสินใจที่จะเป็น อิสระ"เืพื่อ"งานประพันธ์กวีแล้วนั้น พร้อมที่ีจะเสี่ยงภัยอันตรายในทุกๆด้าน นี่แหล่ะอิสระที่สูงกว่าแบบแรก แม้ว่าเธอจะยากจนแต่เธอก็มีความสุขปิติล้นเหลือ แม้ว่าเธอยังต้องตัดไม้เพื่อแลกกับการที่ีจะได้ทำงานประพันธ์เธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความสำราญสมปราถนาเพราะเธอได้ทำในสิ่งที่เธออยากจะทำ


3. อิสระ (๋Just Freedom)


อิสระที่สูงที่สุดอยู่เหนือกว่าอิสระทั้งในเชิงลบ และ ในเชิงบวก  ในแบบแรกเธอได้ทราบถึง "การบอกปฎิเสธ" จากนั้นได้ทราบถึง "การตอบสนอง" มาถึงข้อนี้จงลืมทั้ง2อย่างนั้นไปเสีย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อิสระในแบบนี้ไม่ใช่อิสระที่จะไปต่อต้านกับสิ่งใด และ ไม่ได้มีไว้สำหรับจุดประสงค์อื่นใด มันเป็นเพียง "อิสระ" 


เป็นหนึ่งเดียว คือ กา่รเป็นอิสระ เมื่อ "เยส" ถูกทำลาย "โน" ก็ถูกโยนทิ้ง นั่นแหละคืออิสระที่สูงสุด


คำว่า Responsibilty (ความรับผิดชอบ) คือการบรรลุเป้าหมายตามความต้องการที่สร้างขึ้นมาจากผู้อาวุโสกว่าในสังคมของเธอ หากเธอทำการตอบสนอง "เธอเป็นผู้มีความรับผิดชอบ" หากไม่ทำตามนั้น "เธอเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ"


แท้จริงแล้ว Responsibilty คำนี้แยกออกมาได้เป็น2คำได้ความหมายว่า Response (ตอบสนอง) + Ability (ความสามารถ) และการตอบสนองจะเกิดขึ้นได้หากเธอให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ณ เวลาปัจจุบันเท่านั้น 


Response การตอบสนองหมายถึง การเอาใจใส่้ ความตื่นตัว ความมีสติพร้อมเพรียงกันมา ณ ที่นี่ ตอนนี้ ในปัจจุบันขณะ ไม่ว่าอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นเธอจะสนองตอบด้วยคุณสมบัติตามธรรมชาติที่เธอมีอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์บ้าบอที่ผู้ใดคอยอวดอ้าง มันหมายถึง "การเป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันขณะ"


ชีวิตคนเราในแต่ละวันนำพามาซึ่งวินาทีแห่งการเปลี่ยนแปลง คืนวันอันแปลกหน้า หากยังเธอยังมัวรีรอหาป้ายบอกทางจากประสบการณ์ในอดีต เธอจะพลาดโอกาสทองในการตอบสนองความสามารถ การปลดปล่อยตนเองไปตามสัญชาตญาณ สำหรับฉันแล้ว ศีลธรรมความดีงามคือการปฎิบัติตนไปตามธรรมชาติตามสัญชาตญาณนี่แหล่ะ เธอจะทำแต่ในสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะความ "ตื่นตระหนักรู้" จะคอยส่งเสริม นอกเหนือจากนั้นแล้วเธอไม่ต้องการสิ่งใดอีกเลย เพราะเธอเพ่งความคิดมายังปัจจุบันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อะไรอีกเล่าที่เธอจะต้องทำ? พละกำลังของเธอทั้งหมดพร้อมด้วยสติปัญญาต่างหาคำตอบให้กับทุกคำถามเพื่อผ่านสู่วินาทีใหม่ล่าสุด ดังนั้นอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นมันจึงเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว


นี่คือวิธีคิดในเรื่องของคำว่า Responsibility และการใช้ชีวิตโดยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ถูกบอกกล่าวผ่านปากคำของใครก็ตามที่ไม่ได้ต้องการให้เธออยู่กับปัจจับันขณะ เขาคอยให้คำปรึกษาให้คำชี้แนะว่าควรประพฤติเช่นไร ทำตัวแบบไหน แต่เขาไม่เคยรู้ว่าอีกชีวิตหนึ่งซึ่งไม่ใช่ตัวเขาไม่สามารถเดินทางสอดคล้องไปกับ "คู่มือนำทาง" เล่มนั้นได้


จงอย่าให้อดีตมารังควาน อะไรที่ผ่านแล้วให้มันผ่านเลย เธอเท่านั้นที่จะต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ มีแต่เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ความสามารถจะสนองตอบ ซึ่งมันเพียงพอแล้วกับทุกสถาณการณ์ที่เธอเผชิญอยู่เบื้องหน้า


เธอเท่านั้นในขั้นตอนการวินิจฉัยครั้งสุดท้าย เป็นเธอมาตลอดเธอคือ "ผู้ชี้ชะขาด" ที่จะตัดสินว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอ จงจำเอาไว้เสีย! นี่แหล่ะคือกุญแจสำคัญ หากเธอเสียใจ นั่นเป็นเพราะเธอทั้งนั้น เธอรู้สึกไม่มีความสุข ขาดแคลน นั่นก็เพราะตัวของเธอเองนั่นแหละที่รับเอาความรู้สึกเหล่านั้นเข้ามา "ความรับผิดชอบ" คือสิ่งที่เธอต้องมีจงอย่าหวั่นเกรงต่อมัน หลายคนประหม่าหวาดหวั่นไปกับความรับผิดชอบพวกเขามองไม่เห็นอีกด้านหนึ่งของมัน อีกด้านหนึ่งบอกว่า "อิสรภาพ" หากใครบางคนขับเคี่ยวให้เธอต้องเป็นทุกข์และเธอไม่สามารถจะพาตัวเองออกมาจากความเศร้าหมองนั้นได้ เธอจะทำเช่นไร? ในความเป็นจริงนอกจากความประสงค์ของผู้อื่นจะไม่สามารถทำอะไรเธอได้แล้ว เธอยังไม่สามารถที่จะผ่านพ้นมันไปได้อีก ? เป็นภาระหน้าที่ของเธอต่างหากที่ต้องจัดการกับความทุกข์ หน้าที่ของเธอคือผู้ตัดสินใจ หากเธอไม่มีความสุขกับการเป็นทุกข์ก็จงปล่อยมันไปเสีย


ชาย2คนถูกคุมขังในเรื่องจำแห่งหนึ่ง มันเป็นคืนที่พระจัทร์เต็มดวง ทั้ง2ยืนอยู่ตรงหน้าต่างของกรงขังอันมืดมิด จันทร์นวลลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ชายคนหนึ่งมองไปยังดวงจันทร์ และมันเป็นช่วงฤดูฝน นำท่วมขังและโคลนตมเกลอะกลังอยู่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากเข้าทั้ง2 มันสกปรกและยังโชยกลิ่นเหม็น ชายคนแรกยังคงเฝ้ามองดวงจันทร์ต่อไป ส่วนอีกคนนั้นมองไปยังขี้โคลน ใช่แล้ว ชายคนที่มองไปยังขี้โคลนมีความรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก แต่ชายคนที่มองไปยังดวงจันทร์กลับสุขสว่าง และ อิ่มเอิบ แสงจันทร์ฉายส่องกระทบผิวหน้า ดวงตาของเขาเปร่งประกาย แล้วเขาก็ลืมไปเลยว่าตนคือผู้ต้องขัง


ทั้ง2ยืนอยู่ตรงที่เดียวกัน แต่กลับเลือกในสิ่งที่ต่างกัน นี่แหล่ะมนุษย์ 


หากพาเขาไปยังดงกุหลาบเขาจะคอยนับจำนวนหนามของดอกกุหลาบ เขาเป็นดั่งเครื่ีองคิดเลข ความรู้ทางคณิตศาสตร์ของเขานั้นแม่นยำเสมอและหลังจากที่นับจำนวนหนามได้เป็นพันๆ มันจึงเป็นไปตามตรรกะของเขาว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะเห็นไม้แค่เพียงดอกเดียว ในความเป็นจริงแล้วโลกภายในของเขาตั้งคำถามว่า"สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?" ก้านกุหลาบนั้นเต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม ดอกกุหลาบที่เราเห็นนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?ิ อาจะเป็นเรื่องเหลวไหล? ภาพหลอน? หรือต่อให้มันเกิดขึ้นจริงก็ตามฉันก็หาประโยชน์อะไรจากมันไม่ได้อยู่ดี


อีกคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นหนามของดอกกุหลาบมาก่อนเช่นกัน เขามองไปยังกุหลาบ และยังคงเพ่งมองมันเรื่อยไปซาบซึ้งได้ว่ามันคือพืชดอก สัมผัสได้ถึงความงดงาม เฉลิมฉลองไปกับทุกวินาทีที่ผ่านพ้น ในขณะที่ภายในกำลังเพ่งความสนใจไปยังดอกกุหลาบ เขาเริ่มมองหนามของกุหลาบในมุมมองที่ต่างออกไป "เจ้าหนามเหล่านี้มีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องดอกไม้อันสวยงาม" มันไม่ได้น่าเกลียดหน้ากลัวอีกต่อไป "หนามแหลมไม่ใช่สิ่งที่ตรงกันข้่ามกับความงามกุหลาบสวย" ทัศนคติด้านบวกจึงบังเกิด


มันคือตัวเธอเองทั้งนั้นที่จะเลิกเปิดรับใครเข้ามาในชีวิต "ความสว่างไสวทางจิตวิญญาณ" สามารถทำให้กระทั่งความตายดูสวยงาม ส่วน "ความเป็นผู้ไม่ตื่น" สามารถทำให้ชีวิตคนเราดูน่าเกียจน่าชังขึ้นมาได้ทุกเมื่อ แต่สำหรับความสว่างไสวทางจิตวิญญาณแล้วนั้น ความสวยงามที่คงอยู่ - คงความงาม ความสุขสงบอันล้นพ้น - สุขสวัสดิ์ภายใน


ฉะนั้นประเด็นมันจึงไม่ใช่เรื่องของการแปรเปลี่ยน ความอัปลักษณ์ มาสู่ ความงาม หรือการเปลี่ยน ความปวดร้าว ให้เป็น ความปิติยินดี การเปลี่ยน ทุกข์ ให้เป็น สุข  ไม่ใช่เด็ดขาด ! 


ประเด็นคือการเปลี่ยน ความไม่มีสติ ให้มี สติ ความมืดมัว ให้เป็น ความสว่างไสว มันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนโลกภายในตัวเธอ คือการจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมา่ยคุณภาพชีวิตอันสุขสงบ สลัดตนออกจากคุณภาพชีวิตในทางลบ

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Belief is Borrowed, Trust is Yours



บทความต่อไปนี้ผมแปลมาจากหัวข้อ Belief is Borrowed, Trust is Yours หน้าที่ 51-53 จากหนังสือ  Living Dangerously - Ordinary Enlightenment for Extraordinary Times โดย  Osho 
(ทุกตัวอักษรถูกแปลจากอังกฤษเป็นไทย ไม่ปฎิเสธเรื่องที่ว่าในแต่ละครั้งของการแปลบทความเหล่านี้จะเจือปนความรู้ความเข้าใจของตัวผู้แปลลงไปด้วย ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)




ศรัทธานั้นหยิบยืม เชื่อมั่นนั้นติดตน


ความเชื่อมั่นจะกำเนิดขึ้นได้นั้น แรกเริ่มหากเธอเชื่อมั่นในตัวของเธอเอง มูลฐานที่สำคัญต้องเกิดขึ้นมาจากภายในก่อน แล้วจึงจะสามารถเชื่อมั่นในการดำรงอยู่ แต่หากไม่เป็นดังเช่นที่กล่าวมานั้น ความรู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องใดใดจะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด


สังคมได้ทำลายล้างความเชื่อมั่นไล่ลงไปตั้งแต่รากฐาน เขาไม่อนุญาตแม้แต่จะให้เธอเชื่อในตัวในตน หากแต่สอนสั่งความเชื่อมั่นในรูปแบบที่ต่างออกไป เชื่อฟังคนในครอบครัว เชื่อถือคนในโบสถ์ วางใจไปกับมลรัฐ ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า อย่างไม่มีทีสิ้นสุด หารู้ไม่ว่าความเชื่อเดิมนั้นถูกลบเลือนไปจนไม่มีเหลือ ส่วนความเชื่อที่สังคมกำหนดให้นั้นเป็นของเลียนแบบ ดังนั้นมันจึงเป็นได้แค่ดอกไม่พลาสติก ไร้รากสำหรับหยั่งลงไปดูดเอาสารอาหารสำหรับการเจริญเติบโต


พวกเขาบรรจงสร้างสรรค์มันอย่างรอบคอบ แฝงไปด้วยจุดประสงค์ นั่นเพราะผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นบุคคลที่อันตรายต่อประชาคม สังคมที่ฝากผีฝากไข้ไปกับทาสรับใช้ แท้จริงแล้วมันคือสังคมอุดมทาส


ผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองคือผู้ที่เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง เธอไม่สามารถจะคาดเดาทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาก้าวเดินในวิถีที่เข้าสร้าง เขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อเขารู้สึก ยามที่ความรักบังเกิดในใจ แปรเป็นความเชื่อที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันแรงกล้า พร้อมกับ ความสัตย์แท้แน่นอน เปี่ยมไปด้วย ความมีชีวิตชีวา แต่ไม่สูงเกินกว่าความธรรมดาสามัญ หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาพร้อมแล้วที่จะเสี่ยงอันตรายนานับประการไปกับสิ่งที่เขาตั้งมั่น แต่มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาประจักษ์แล้วว่าถ่องแท้ ต่อเมื่อมันมาสั่นระฆังหัวใจ สติปัญญา และ ความรัก นอกจากนั้น ไม่มี! แล้วเธอจะพบว่าอำนาจใดก็ไม่สามารถควบคุมเขาไปสู่ความเชื่อใดใดได้เลย


ความศรัทธา คือ  สมมุติฐาน

ความเชื่อมั่น คือ การดำรงอยู่

เธอสามารถปรับเปลี่ยนศรัทธาได้โดยปราศจากความกังวล คล้ายกับเวลาที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นแหล่ะ จาก ฮินดู เธอสามารถเปลี่ยนเป็น คริสเตียน มุสลิม กระทั่ง คอมมิวนิสต์ เพราะว่าความศรัทธาเป็นเรื่องของสติปัญญาหากมีสิ่งใดมาโน้มน้าวหรือมีเหตุผลที่เหมาะสมพอเธอก็สามารถเปลี่ยนมันได้ในทันทีเพราะมันไม่มีกระทั่งรากเหง้า ใช่แล้วความศรัทธาเป็นดั่งดอกไม้พลาสติกถึงจะดูคล้ายกับของจริงแต่มันไม่มีรกราก ไม่ต้องอาศัยกาารดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องการปุ๋ย ไม่ต้องการสารเคมี ไม่ต้องการนำไม่ต้องพรวนดิน ไม่มีสิ่งใดเลยที่มันต้องการ หากแต่มันจะยังคงอยู่ไปตราบชั่วอายุขัยของมนุษย์มนาเพราะพวกมันไม่เคยเกิดมันจึงไม่เคยตายถูกผลิตมาจากเครื่องจักรกลต่อให้ทำลายล้างมันไปมันก็ยังคงอยู่

ศรัทธาอยู่ในหัว 

เชื่อมั่นอยู่ในใจ

ความเชื่อมั่นเป็นดั่งกุหลาบงามตามธรรมชาติ รากของมันหยั่งลงไปถึงหัวใจของเธอลงไปยังความเป็นไปของชีวิต หากจะทำการเปลี่ยนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีให้เห็นมาในประวัติศาสตร์ หากเธอเชื่อมั่นแล้วไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคงเจริญเติบโตด้วยราก ไม่แน่นิง มีความเคลื่อนไหว สถิตไปด้วยพละกำลัง พร้อมทั้งยังคงแตกดอกออกใบ แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยไม่รู้จบ

สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตคนเราคือการก้าวข้ามอดีต เพราะนั่นหมายความว่านั่นคือการ สูญสิ้นอัตลักษณ์ สูญสิ้นตัวตนของเธอเอง ใช่ มันคือการ สลายตัวตน ตัวเธอนั้นว่างเปล่าแต่อดีตนั้นต่างหาก ตัวเธอนั้นว่างเปล่าแต่เงื่อนไขนั้นต่างหาก ฉะนั้นมันจึงไม่ง่ายเหมือนกับการเปลื้องผ้าหากแต่มันคือการถลกผิวหนังออกมาก็ว่าได้

การจะก้าวผ่านอดีตเป็นสิ่งที่ยากยิ่งแต่ก็ยังมีผู้กล้าที่ลงมือทำ คงเหลือเอาไว้เพียงชีวิตเอาไว้ใช้ ส่วนคนอื่นอื่นยังคงเสแสร้ง ยังคงกล้ำกลืนฝืนทนต่อไปอยู่ดี พวกเขาไม่มีกำลังวังชา ไม่สมควรที่จะมีเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอย่างเบาบางและด้วยเหตุนั้นเองเขาจึงพลาดทุกอย่างไป

จะมีเพียงเมื่อยามที่เธอทุ่มเททั้งศักยภาพอย่างเต็มเหนี่ยวเท่านั้นการผลิบานทางจิตวิญาณจึงบังเกิด เมื่อยามที่การแสดงออกอย่างเต็มเหนี่ยวในของการดำรงอยู่ในตัวของเธอบังเกิด พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง จะลงมาโปรดตอนที่เธอสัมผัสได้ว่าสิ่งสิ่งนั้นมีอยู่

ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นตัวตนของเธอที่เลือนหาย ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นสัมผัสถึงองค์ศาสดาในตน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะเกิดขึ้นถัดจากการสัมฤทธิ์ผลจากการสูญสิ้นตัวตนไปเสียก่อน มันคือการตายชนิดหนึ่งนั่นเอง แม้ว่ามันค่อนข้างจะยุ่งยากและเงื่อนไขออกจะลึกซึ้งอย่างมากเพราะเธออยู่ภายใต้มันมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก เงื่อนไขต่างต่างก็เริ่มขึ้นเช่นกัน เวลาผ่านไปเธอรู้สึก"ตื่น"เริ่ม"ตระหนัก"ขึ้นมาบ้าง แต่มันกลับถูกส่งไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในตัวเธอเสียแล้ว หนทางเดียวคือทะลวงเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดที่ที่ไม่มีเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น สถานที่ก่อนที่คำสอนคำกล่าวจากสังคมจะบังเกิด นอกเสียจากเธอจะหลอมรวมกับความสงบนิ่งนั้นเสียเอง เป็นหนึ่งเดียวกับความไร้เดียงสา เธอจึงพบว่าเธอคือใคร ถูกต้อง เธอทราบดีว่าเธอ เป็นฮินดู เป็นคริสเตียน  เธอเป็น คนอินเดีย คนจีน คนญี่ปุ่น มีความรู้ความเข้าใจในหลายหลายเรื่อง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่มากำหนดตัวเธอให้เป็นไปตามสิ่งใดก็ตามที่ใครอยากให้เธอเป็นต่างหากเล่า ! แล้วเธอก็ได้เดินทางมาถึง โลกแห่งความสงัดบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในตัวของเธอโดยไร้สิ่งใดมาเจือปน

"การทำสมาธิ " หมายถึง การทะลุทะลวงเข้าไปสู่พื้นทีแห่งนั้นพื้นที่ที่ลึกที่สุดยาวไกลที่สุด คนนิกายเซ็นเรียกมันว่า "การพบโฉมหน้าที่แท้จริง"



วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แปลเพลง





Notorious B.I.G .-  Juicy

โนโทเรียส บี ไอ จี - สีสัน

----------------------------------------------------

( พูด )

Yea...this album is dedicated to all the teachers that told me

เออ อัลบั้มนี้กูขออุทิศให้กับคุณครูทุกท่านที่เคยบอกกับกูว่า

I'd never amount to nothing, to all the people that lived above the

กูไม่ได้มีชีวิตเพื่ออยู่ไปวันวัน อุทิศให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บน

Buildings that I was hustling in front of that called the police on

แมนชั่นที่กูกำลัง"ปล่อยของ"อยู่ข้างหน้าตึกในขณะที่พวกแม่งโทรแจ้งตำรวจ

Me when I was just trying to make some money to feed my daughter

ให้มาจับกูทั้งที่กูลำบากลำบนหาตังค์มาเลี้ยงดูลูกน้อย

And all the niggas in the struggle, you know what I'm saying?

และให้กับพี่น้องทุกคนที่ดิ้นรนต่อสู้ เข้าใจใช่ป่ะ ?

It's all good baby baby

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ


(ท่อน1)


It was all a dream

มันเหมือนดั่งความฝัน

I used to read Word Up magazine

กูชอบอ่านนิตรยสาร เวริ์ด อัพ 

Salt'n'Pepa and Heavy D up in the limousine

ซอล แอนด์ เพพพ่า และ เฮฟวี่ดี นั่งอยู่บน ลิมมูซีน

Hangin pictures on my wall

กูตัดรูปมาแปะไว้บนฝาบ้าน

Every Saturday Rap Attack, Mr. Magic, Marley Marl

ทุกวันเสาร์ รายการวิทยุ แร็พ แอ็ทแท็ค ดีเจ เมจิค กับ ดีเจ มาร์ลี่ มาร์ล

I let my tape rock til my tape popped

กูปรี่เปิดฟังจนเครื่องเล่นแทบพัง

Smokin weed and Bambu, sippin on Private Stock

ดูดสมุนไพรโรลกระดาษมวนตราแมว พลางจิบแสงโสม

Way back, when I had the red and black lumberjack

ย้อนกลับไปในตอน กูใส่รีบอร์คปั้ม เสื้อการ์ตูนมาร์เวล

With the hat to match

พร้อมกับหมวกสีที่เข้ากับชุด

Remember Rappin Duke? duh-ha, duh-ha

จำเพลง แร็พปิ้น ดู้ก กันได้มั้ย ? ดา ฮา ดา ฮา

You never thought that hip hop would take it this far

มึงคงคิดไม่ถึงว่าเพลงส้นตีนแบบนั้นจะทำให้ฮิปฮอปเป็นดั่งทุกวันนี้

Now I'm in the limelight cause I rhyme tight

ตอนนี้ กูอยู่บนเวทีแสงไฟสาดส่อง เพราะ กูถุยไม่หยุดไม่เคยบกพร่อง

Time to get paid, blow up like the World Trade

ถึงเวลาที่ต้องชำระ ระเบิดตูม  7 จุดใน กอ ทอ มอ !

Born sinner, the opposite of a winner

เกิดมามีกรรมกูไม่โทษใคร ตรงกันข้ามเลยกับคำว่า ผู้มีชัย

Remember when I used to eat sardines for dinner

กูยังจำได้ที่กูต้องแดกข้าวกับปลากระป๋องเป็นมื้อเย็น

Peace to Ron G, Brucey B, Kid Capri

ทักทายไปยัง รอน จี , บรูซซี่ บี , คิด คาปรี

Funkmaster Flex, Lovebug Starski (wassup)

ฟังก์มาสเตอร์ เฟล็กซ์, เลิฟบัค สตารสกี้ (หวัดดีพี่)

I'm blowin up like you thought I would

กูกลายเป็น ซุปตา อย่างที่มึงเห็น

Call the crib, same number same hood (that's right)

โทรมาหากูได้ เบอร์เดิม ที่เดิม (ใช่แล้วหล่ะ)

It's all good (it's aaalll good)

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ ( ดีหมด )

And if you don't know, now you know, nigga

และถ้าหากมึงยังไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้มึงได้รู้แล้วนะ พี่น้อง


(*** ท่อนฮุค ***)


You know very well who you are

*** ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า "คุณคือใคร"

Don't let em hold you down, reach for the stars

อย่าปล่อยเข้าเหล่านั้นมาฉุดคุณลงตำ จงเอื้อมมือคว้าดาว

You had a few, but not that many

ถึงคุณจะมีเพียงแค่อย่างสองอย่าง แต่คนอื่นนั้นมากเกินไป

Cause you're the only one I'll give you good and plenty

เพราะคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะหยิบยื่นให้อย่าง พอดี และ เหมาะสม


(ท่อน2)


I made the change from a common thief

กูสร้างโอกาสจากพวกลักทรัพย์

To up close and personal with Robin Leach

จนใกล้ชิด และ สนิทชิดเชย กับ โรบิน ลีช

And I'm far from cheap, I smoke skunk with my peeps all day

กูน่ะห่างไกลจากความจน กูดูดพันลำพันธุ์สกั้งค์แม่งทุกวันกับเพื่อนฝูง

Spread love, it's the Brooklyn way

ส่งผ่านความรัก นี่คือวิถีของชาวบรู๊คลีนว่ะ

The Moet and Alize keep me pissy

แชมเปญ โมเอท บรั่นดี อะไลซ์ ทำเอากูเดินเซ

Girls used to diss me

สาวสาวมักจะมองเมิน

Now they write letters cause they miss me

แต่ตอนนี้หล่อน ว็อท-แอ็ป มาหากูเพราะรู้สึกว่าพวกเขานั้นห่างเหิน

I never thought it could happen, this rappin stuff

กูไม่เคยจะคาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพียงเพราะจาก เพลงแร็พ

I was too used to packin GATs and stuff

ชีวิตกูควรจะมีอยู่แค่ ปืน กับ ยาบ้า

Now honeys play me close like butter play toast

ยาหยีไม่เคยจะห่างกูเหมือนกับเนยที่ต้องทาบนขนมปังปิ้ง

From the Mississippi down to the east coast

จาก มิสซีซิปปี้ ย้ายมาอยู่ฝั่ง อีสโคสต์

Condos in Queens, endo for weeks

คอนโดสุดหรู จัดปุ๊นแม่งทั้งอาทิตย์

Sold out seats to hear Biggie Smalls speak

บัตรขายเกลี้ยงเพื่อที่จะมาฟัง บิ๊กกี้ สมอลส์ ปราศัย

Livin life without fear

ใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัว

Puttin 5 karats in my baby girl's ears

กูจัด 5 กะรัตให้สุดที่รักไว้ที่ต่างหู

Lunches, brunches, interviews by the pool

อาหารกลางวัน ของหวานอาหารว่าง สัมภาษณ์สดกันตรงสระนำ

Considered a fool cause I dropped out of high school

คิดแล้วน่าขันเพราะความรู้กูมีเพียงชั้น ปอ 4

Stereotypes of a black male misunderstood

ก็แค่ทัศนคติของไอ้มืดที่ขาดขาดเกินเกิน

And it's still all good

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ

Uh...and if you don't know, now you know, nigga

เออะ...และถ้าหากมึงยังไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้มึงได้รู้แล้วนะ พี่น้อง


(*** ท่อนฮุค ***)


You know very well who you are

*** ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า "คุณคือใคร"

Don't let em hold you down, reach for the stars

อย่าปล่อยเข้าเหล่านั้นมาฉุดคุณลงตำ จงเอื้อมมือคว้าดาว

You had a few, but not that many

ถึงคุณจะมีเพียงแค่อย่างสองอย่าง แต่คนอื่นนั้นมากเกินไป

Cause you're the only one I'll give you good and plenty

เพราะคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะหยิบยื่นให้อย่าง พอดี และ เหมาะสม


(ท่อน3)


Super Nintendo, Sega Genesis

เพลสเตชั่น 3 , นินเทนโด วี

When I was dead broke, man I couldn't picture this

ตอนที่กูไม่มีจะแดก เพื่อนเอ๋ย! กูยังไม่คิดแม้แต่จะนึกถึง

50-inch screen, money green leather sofa

แฟรตตอนจอ 50 นิ้ว โซฟาหรูทำจากกัมมะหยี่

Got two rides, a limousine with a chauffeur

ภาหนะยานยนต์ ลิมมูซีน 2 คัน พร้อม คนขับรถ

Phone bill about two G's flat

ค่าโทรศัพท์กูยาวเป็นหางว่าว

No need to worry, my accountant handles that

ไม่เห็นต้องเป็นกังวล กูปล่อยให้นักบัญชีส่วนตัวกูจัดการ

And my whole crew is lounging

เหล่าเพื่อนฝูงอยู่กันในห้องสังสรรค์

Celebrating every day, no more public housing

ฉลองกันทุกวันไม่เว้นกระทั่งวันหยุด ไม่มีอีกแล้วการเคหะของภาครัฐ 

Thinking back on my one-room shack

คิดหวนถึงวันวานตอนที่ทั้งบ้านมีเพียงห้องเดียวไว้อยู่อาศัย

Now my mom pimps a Ac with minks on her back

แต่ตอนนี้แม่กูขับ อาคิวร่า พร้อมกับเสื้อขนมิ้งค์บนไหล่ของเธอ

And she loves to show me off, of course

ท่านพอใจที่แสดงออกให้กูเห็น แน่นอน

Smiles every time my face is up in The Source

ยิ้มรื่นทุกทีที่เห็นลูกชายท่านอยู่บนปก นิตรยสาร ซอร์ซ

We used to fuss when the landlord dissed us

เราคอยแต่ตระหนกเวลาเจ้าของบ้านเช่าเข้ามาทวงตังค์

No heat, wonder why Christmas missed us

ไม่มีเครื่องทำความอุ่น วัยเด็กเคยสงสัยว่าทำไมบ้านเราจึงไม่จัดงานคริสต์มาส

Birthdays was the worst days

วันเกิดของพวกเราเคยเป็นวันที่แย่ที่สุด

Now we sip champagne when we thirst-ay

แต่ทุกวันนี้ พวกกูจิบแชมเปญเวลากูกระหายนำ

Uh, damn right I like the life I live

เออะ แน่นอนที่สุด กูพอใจกับชีวิตที่กูใช้

Cause I went from negative to positive

เพราะไม่ว่ามันจะ ร้าย หรือ ดี

And it's all
(It's all good)

ทุกอย่างแม่งดีทั้งนั้นแหล่ะ 
( ดีหมด )

...and if you don't know, now you know, nigga 

และถ้าหากมึงยังไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้มึงได้รู้แล้วนะ พี่น้อง


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ที่มา-ที่ไป

- คู่กัดตลอดกาลของ ทูพัค 

- ทูพัค - เวสต์ไซด์ 

- บิ้กกี้ - อีสไซด์

- เพลง จูซซี่ เป็นเพลงฮิปฮอปเพลงแรกที่บอกเล่าถึงเรื่องราวชีวิต การไต่เต้าของศิลปินฮิปฮอป ตั้งแต่ไม่มีจะกินจนเป็นศิลปินดัง นำมาซึ่งที่เราสามารถเห็นเพลงในทำนองนี้กันได้เกลื่อนในปัจจุบัน

- ซิงเกิ้ล ตัวนี้ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่15 ของเพลงแร็พยอดเยี่ยมตลอดกาลของ บิลบอร์ดชาร์ต